พุงโต ตายเร็ว

นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์

0
6473

แม้ว่าฝรั่งสมัยนี้จะยังมีคนพุงโตอยู่มากทั้งชายและหญิง แต่เขาก็ฉลาดขึ้น มีความรู้มากขึ้น และได้ทำการศึกษาเรื่องพุงโต หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อ้วนกลาง (central obesity) กันมากขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้มีรายงานการศึกษาในวารสาร Journal of Internal Medicine ซึ่งทำการศึกษาในคน 15,000 คน ใช้เวลาติดตาม 14 ปี พบว่า คนที่พุงหลามแม้จะมีน้ำหนักปกติ แต่ก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก ผู้ชายพุงโตแม้จะมีน้ำหนักตัวตามเกณฑ์ก็ยังตายเร็วกว่าคนพุงไม่โตถึง 2 เท่า ส่วนผู้หญิงที่พุงหลามแม้น้ำหนักตัวจะปกติก็ยังตายเร็วกว่าหญิงอ้วนที่พุงไม่หลาม 32% การศึกษานี้ทำโดยหมอโรคหัวใจ ฟรานสิสโก โลเปซ-จิเมเนซ โรงพยาบาลเมโยคลินิก

ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจอีกคนหนึ่งคือ เลสลี่ โจ ที่คลีฟแลนด์คลินิก มลรัฐโอไฮโอ ก็กล่าวในทำนองเดียวกันว่า คนเรามักจะคิดว่าถ้าเรามีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติก็โอเคแล้ว แต่ที่จริงแล้วน้ำหนักยังไม่สำคัญเท่าความฟิตของร่างกายและการพอกพูนของไขมันในที่ๆ ดี (ที่ไม่ใช่พุง) ดังนั้นพุงโตจึงเป็นสิ่งที่ไม่ดี

รู้ได้อย่างไรว่าพุงโตแล้วหรือยัง ?

การจะวัดว่าพุงโตหรือไม่ทำได้โดย ให้วัดรอบเอวแล้วหารด้วยรอบสะโพก ถ้าผลลัพธ์เท่ากับ 0.9 หรือมากกว่าในผู้ชาย และเท่ากับหรือมากกว่า 0.85 ในผู้หญิง ถือว่าพุงโตตามนิยามขององค์การอนามัยโลก

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าไขมันมีหลายชนิดเหมือนกับที่คอเลสเตอรอลมีหลายชนิดทั้งชนิดดีและชนิดไม่ดี เซลล์ไขมันที่พุงอาจจะแลดูเหมือนกับเซลล์ไขมันที่อื่นภายใต้กล้องจุลทรรศน์ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเซลล์ไขมันที่ทำงานรอบจัดกว่าไขมันที่อื่น ไขมันที่พุงจะเข้าไปพอกในตับและผลิตสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งมีผลทำให้เกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจขาดเลือด

การศึกษานี้ทำให้เรารู้ถึงข้อเสียหรือข้อจำกัดของการใช้ดัชนีมวลกาย หรือ BMI (body mass index =น้ำหนักเป็นกิโลกรัมหารด้วยความสูงเป็นเมตรยกกำลัง 2) ในการพยากรณ์ความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือดหรือความเสี่ยงตาย เนื่องจากปกติเรานิยามความอ้วนโดยใช้ค่าดัชนีมวลกายดังนี้

  • BMI 18.5 – 24.9 ถือว่าน้ำหนักปกติดี
  • BMI 25 – 29.9 ถือว่าน้ำหนักเกิน (over weight)
  • BMI มากกว่า 30 ถือว่าเป็นโรคอ้วน (obese)ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่าไขมันที่พอกใต้สะดือลงไป เช่น ที่ก้น สะโพก ต้นขา ดูเหมือนจะมีผลดีในทางปกป้องโรคหัวใจ แต่เขายังไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร ท่านทั้งหลายที่สนใจเรื่องสุขภาพควรให้ความสนใจเรื่องอัตราส่วน เอว-สะโพก เพิ่มขึ้นจากค่าดัชนีมวลกาย และควรให้ความสำคัญในการออกกำลังกายสร้างมวลกล้ามเนื้อมากกว่าแค่ลดน้ำหนักอย่างเดียว
  • การที่เราลดน้ำหนักถ้าไม่ออกกำลังกาย เราก็ได้แต่สูญเสียไขมันและกล้ามเนื้อบางส่วนไปด้วย การลดน้ำหนักอย่างเดียวจึงไม่ช่วยเพิ่มสุขภาพของเรา เป็นการผอมแบบยอบแยบ ผอมขี้โรค อีกประการหนึ่งคือเมื่อคนเราอายุมากขึ้น มวลกล้ามเนื้อจะค่อยๆ ลดลง ถ้าเราลดน้ำหนักโดยไม่ออกกำลังกายสร้างมวลกล้ามเนื้อในวัยชรา เราจะสูญเสียทั้งไขมันและกล้ามเนื้อ
  • ถ้าเราดูเฉพาะค่านี้เพียงอย่างเดียว เราจะไม่สามารถบอกหรือประเมินความเสี่ยงได้หมด คือถ้าคนเรามีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ไขมันไปพอกอยู่ที่พุง คนๆ นั้นจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดหรือเสี่ยงตายมากกว่าคนที่ไขมันกระจายไปทั่วร่างกายอย่างเท่าเทียมกัน

ลดพุงกับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

มีหลายคนอยากลดพุง แต่ยังมีความเข้าใจผิดเรื่องพุงกันมาก บางคนคิดว่าการลดไขมันเฉพาะที่เฉพาะส่วนของร่างกายทำได้ จึงพยายามลดพุงโดยการเอาเครื่องเขย่าพุงสั่นก้นมาช่วยสั่นในห้องฟิตเนส อันที่จริงการลดน้ำหนักเฉพาะที่พุงหรือก้นแบบออกกำลังเฉพาะที่อย่างนั้นมันไม่ถูก ไม่ได้ผล ทั้งนี้เพราะว่าพุงของคนเราประกอบด้วยหลายส่วนคือ

  • ส่วนผนังหลังท้อง ซึ่งเป็นที่อยู่ของไต ตับอ่อน หลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta) หลอดเลือดดำใหญ่ (venacava) ผนังส่วนนี้สามารถเป็นที่เก็บพอกพูนสะสมของไขมันได้ส่วนหนึ่ง
  • ส่วนในช่องท้อง เป็นช่องว่างที่เป็นที่อยู่ของกระเพาะอาหารและผ้าขี้ริ้วของกระเพาะอาหาร (omentum) ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และรากของลำไส้ (mesentery) ตับ และม้าม อวัยวะต่างๆ เหล่านี้ทุกอย่างสามารถสะสมพอกพูนไขมันได้มาก เช่น ผ้าขี้ริ้วลำไส้ รากลำไส้ ตับ ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมอย่างหนึ่งที่ทำให้พุงโต
  • ส่วนผนังหน้าท้อง ส่วนนี้ก็สามารถพอกพูนไขมันได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้นใต้ผิวหนัง ในคนอ้วนจะมีไขมันในชั้นใต้ผิวหนังมาก บางคนเห็นเป็นลอนๆ หรือเห็นเป็นห่วงยางรอบเอว อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญของผนังหน้าท้องคือ “กล้ามเนื้อหน้าท้อง” กล้ามเนื้อพวกนี้ถ้าไม่แข็งแรงจะทำให้พุงหลามออกมาเห็นชัดมากกว่าคนที่กล้ามเนื้อแข็งแรง

การลดไขมันเฉพาะที่จะใช้วิธีออกกำลังกายเฉพาะที่ท้องไม่ได้ผล จำเป็นต้องลดน้ำหนักทั้งตัวโดย การลดการกิน คือลดจำนวนแคลอรี ไม่ว่าจะเป็นแคลอรีจากแป้ง น้ำตาล ไขมัน โปรตีน แอลกอฮอล์ ฯลฯ ร่วมกับ การออกกำลังกายเป็นประจำ เมื่อทำแบบนี้แล้วไขมันที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของท้องจะลดลงพร้อมกัน ทำให้ไขมันที่พอกพูนอยู่ในชั้นต่างๆ ของท้องลดลง ทำให้พุงยุบ เมื่อพุงยุบลง กล้ามเนื้อหน้าท้องหรือ ”ซิกแพ็ค” ก็จะปรากฏออกมาให้เห็น (โดยเฉพาะในคนที่ฟิตหน้าท้องด้วย)

กล้ามเนื้อหน้าท้องที่ภาษาแพทย์เรียกว่า rectus abdominis หรือที่ฝรั่งทั่วไปมักเรียกสั้นๆ ว่า AB (แอ๊บ) หรือ ”ซิกแพ๊ก” (เหมือนพวงกระป๋องเบียร์ 6 กระป๋อง (six-pack) ที่พวก beer belly ชายอเมริกันชอบกินยกพวง) เป็นกล้ามเนื้อแห่งความรักหรือกล้ามเนื้อที่ผู้ชายใช้แสดงความรัก ชายชาตรีสมัยนี้จึงชอบถอดเสื้อโชว์ “ซิกแพ็ก” เพื่อแสดงให้เพศตรงข้ามเห็นถึงศักยภาพของความรักแรงแข็งขัน

การไว้พุงเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่อันตราย คนมีความรู้เรื่องสุขภาพสมัยนี้ต่างก็ลดพุงกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี แม่ทัพนายกอง ไปจนถึงอาเสี่ย ซีอีโอ ฯลฯ ถ้าท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจเรื่องสุขภาพก็ควรใส่ใจเรื่องลดพุงให้ลงมาสู่ค่าปกติ ซึ่งจะทำให้ท่านสุขภาพดีขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ทำให้อายุยืนอยู่รอดปลอดภัย ลดความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือด โรคอัมพาต อัมพฤกษ์ และการหมดสมรรถภาพในทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งเรื่องบนเตียงด้วย

 

Resource : HealthToday Magazine, No. 177 January 2016