อาหารบำบัดโรคเหน็บชา

เอกหทัย แซ่เตีย นักกำหนดอาหาร

0
15495
โรคเหน็บชา

เคยนั่งพับเพียบหรือนอนทับแขนตัวเองนาน ๆ แล้วมีอาการแขนขาเสียความรู้สึกต่อการสัมผัสไปชั่วขณะ หรือบางคนถึงขั้นเจ็บปวดและชาจนมีอาการอ่อนแรงเหยียดแขนขาไม่ออกหรือลุกไม่ได้เลยหรือไม่ค่ะ นั่นแหล่ะค่ะเขาเรียกว่า “อาการเหน็บชา” แต่อาการเหน็บชาที่จะพูดถึงในวันนี้ไม่ได้เกิดจากกิจวัตรประจำวันแบบนี้ แต่เราหมายถึง “โรคเหน็บชา”

โรคเหน็บชา หรือ Beriberi เป็นภาษา Sinhalese ของชนเผ่าในประเทศศรีลังกา หมายถึง “I can’t, I can’t” หรือ “ฉัน…ไม่ได้” ที่ชนเผ่าใช้คำนี้อาจเพราะโรคเหน็บชาทำให้มีอาการทางประสาท ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อไม่มีแรง รู้สึกซู่ซ่าตามมือและเท้าจนอาจเคลื่อนไหวไม่สะดวก ทำให้ต้องร้องขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย…ฉันขยับขาไม่ได้”

ภายหลังมีความพยายามหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น ก็พบว่าคนที่กินข้าวขัดสีตลอดจะทำให้มีอาการ Beriberi ซึ่งภายหลังทราบว่า กระบวนการขัดสีข้าวทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินบี 1 ดังนั้นเมื่อกินแต่ข้าวขัดสี และกินอาหารไม่หลากหลายจึงมีอาการเหน็บชาได้

วิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่ละลายได้ในน้ำ หากร่างกายได้รับเกินจะถูกขับทิ้งทางปัสสาวะได้เอง ทำหน้าที่ช่วยเร่งการเผาผลาญสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเป็นพลังงาน ทำให้เรามีเรี่ยวแรงทำงานได้อย่างปกติ ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดวิตามินบี 1 จึงส่งผลกระทบต่ออวัยวะและระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะ 3 ระบบหลัก ได้แก่ ระบบประสาทและสมอง เพราะเป็นระบบที่มีการใช้พลังงานมากเมื่อเทียบกับเซลล์อื่น ๆ รองลงมาคือผิวหนัง และระบบทางเดินอาหาร

นอกจากนี้วิตามินบี 1 ยังมีส่วนสำคัญในการทำงานของระบบประสาท โดยเฉพาะการนำกระแสความรู้สึกของเส้นประสาท เคยมีการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างกินอาหารที่ขาดวิตามินบี 1 พบว่าหลังเริ่มทดลอง 4 วัน กลุ่มตัวอย่างมีอาการเบื่ออาหาร ต่อมาเริ่มมีปัญหาทางอารมณ์ กลุ่มตัวอย่างมักอารมณ์ไม่ดี ทะเลาะกันง่าย ไม่ค่อยให้ความร่วมมือทำกิจกรรมต่าง ๆ

ผู้ที่ขาดวิตามินบี 1 จึงไม่เพียงแค่มีอาการเหน็บชาเท่านั้น แต่บางรายอาจมีอาการทางอารมณ์ด้วย อย่างไรก็ตามผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าตนเองขาดวิตามินหรือเป็นโรคเหน็บชา เนื่องจากอาการแสดงโดยทั่วไปก็แค่ปวดหัว คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปลายประสาทอักเสบ ไม่มีแรง เจ็บกล้ามเนื้อ หรือชาตามมือเท้า ขี้หงุดหงิด ซึ่งอาจไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตอะไรมากนัก แต่หากปล่อยไว้ก็อาจมีผลต่อสุขภาพจิต หรือรุนแรงถึงขั้นโคม่า หัวใจล้มเหลว เสียชีวิตได้

ใครบ้างเสี่ยงเหน็บชา?

นอกจากการกินอาหารที่มีวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอแล้ว การที่ร่างกายมีการใช้วิตามินบี 1 เพิ่มขึ้น หรือได้รับสารทำลายวิตามินบี 1 มาก ๆ ก็ทำให้เสี่ยงต่ออาหารเหน็บชาได้ หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร เด็กวัยเจริญเติบโต คนที่ทำงานใช้แรงเยอะ ๆ หรือนักกีฬา ผู้ป่วยเรื้อรัง มีไข้สูง เป็นโรคติดเชื้อ หรือแม้แต่ผู้ที่กินอาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาลมาก ๆ คนกลุ่มนี้คือกลุ่มเสี่ยงที่จะขาดวิตามินบี 1 จนเกิดอาการเหน็บชาได้ เพราะร่างกายต้องการใช้วิตามินเพิ่มขึ้นจากปกติ หากกินไม่พอก็จะมีอาการขาดวิตามินบี 1 ทันที

นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี 1 นั่นคือผู้ที่กินอาหารที่มีฤทธิ์ขัดขวางการดูดซึมหรือทำลายวิตามินบี 1 ได้แก่

  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดการดูดซึม และเพิ่มการขับวิตามินบี 1 เสมือนคนกินยาขับปัสสาวะ ดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง ทำให้ร่างกายดูดซึมและสะสมวิตามินบี 1 ได้ไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง ทั้งนี้เพราะตับไม่สามารถนำวิตามินบี 1 ไปใช้ประโยชน์ได้
  • ผู้ที่ได้รับเอนไซม์ไธอะมิเนส (Thaiaminase) สารทำลายวิตามินบี 1 ซึ่งพบได้ในปลาน้ำจืดดิบ หอยลาย หอยแมลงภู่ หอยกาบ ปลาร้า กุ้ง แหนม แบบดิบ ๆ
  • ผู้กินใบเมี่ยง ใบชา หมาก มันสำปะหลังเป็นประจำ เพราะอาหารเหล่านี้มีสารทำลายวิตามินบี

กินบำบัดเหน็บชาอย่างไร?

แนวทางในการรักษาผู้ที่ขาดวิตามินบี 1 นั้นนอกจากการกินวิตามินในรูปของยาเม็ดเสริมตามระดับความรุนแรงของการขาดวิตามินแล้ว การกินอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ธัญพืช ถั่ว ซีเรียล เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ฯลฯ เพื่อให้ได้วิตามินบี 1 วันละ 20 – 30 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลา 2 – 3 สัปดาห์ ก็เป็นอีกทางที่จะช่วยให้หายจากอาการเหน็บชาได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามแม้จะได้วิตามินบี 1 เสริมมากเท่าไหร่ก็ตามแต่หากผู้ป่วยยังคงดื่มแอลกอฮอล์ และกินอาหารที่ทำลายวิตามินบี 1 เข้าไปมาก ๆ อาการเหน็บชาก็คงจะไม่หาย และยังคงกวนใจต่ออยู่ดี

เทคนิคกินกันเหน็บชา

  1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลากหลาย โดยเฉพาะ ข้าวแป้งไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวเหนียวดำ เส้นหมี่ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ซีเรียล ข้าวโอ๊ต ถั่วธัญพืชต่าง ๆ
  2. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสาร Thaiaminase เช่น ปลาน้ำจืด หอย กุ้ง เนื้อสัตว์แบบดิบ ๆ หากต้องการกิน แนะนำให้นำอาหารไปผ่านความร้อนจนอาหารสุก ก็จะช่วยทำลายThaiaminaseให้หมดฤทธิ์ได้
  3. หลีกเลี่ยงการกินใบเมี่ยง ใบชา หมาก มันสำปะหลัง เนื่องจากมีสารที่ทำลายวิตามินบี 1 ที่มีความคงตัวสูงไม่สามารถทำลายได้ด้วยความร้อน
  4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง

เคล็ดลับที่ผู้เขียนนำมาฝากวันนี้ หากทำได้เชื่อว่าผู้อ่านจะไม่ต้องร้อง I can’t. I can’t. เลยค่ะ

 

ที่มา: HealthToday Magazine, No.187 November 2016