ทุกวันนี้…เรายังอยากตื่นมาทำงาน หรือตื่นมาเพื่อใช้ชีวิตไหมครับ? ท่านยังรู้สึกว่ามีความสุขที่ได้ตื่นไหม ยังรู้สึกว่ามีอะไรดี ๆ รอเราอยู่ในวันนี้ ยังรู้สึกอยากพบเจอกับชีวิต เพราะชีวิตมันยังดี กันอยู่ไหมครับ?
ถ้าตัดเรื่องนอนน้อยเลยอยากนอนต่อออกไป ผมก็ยังอยากตื่นมาใช้ชีวิตอยู่เสียเป็นส่วนใหญ่ ชีวิตผมเองก็จัดว่าน่าพอใจสำหรับผม มันออกจะย้อนแย้งอยู่นิดหน่อย เพราะโดยเนื้องานแล้วสิ่งที่ผมต้องเจอเป็นประจำในการเป็นจิตแพทย์คือ คนที่ไม่อยากตื่นมาทำงาน หรือเด็กที่ไม่ค่อยอยากตื่นมาเรียน ซึ่งก็แน่นอนล่ะ คนยังมีความสุขดีจะมาหาจิตแพทย์ทำไม นั่นคือผมอยากตื่นมาใช้ชีวิตเพื่อคนพวกที่ไม่ค่อยอยากตื่นมาใช้ชีวิต
ผมเพิ่งจะสังเกตได้เมื่อไม่นานมานี้ว่าผมพบกับคนไข้ลักษณะประมาณนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรวมกับปัญหาบ้านเมือง ระบบระบอบที่อยู่ในสังคมเราตอนนี้ ผมก็เลยคิดว่าประเทศนี้ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น อะไรทำให้เด็กไม่อยากตื่นไปโรงเรียน ผู้ใหญ่ไม่อยากตื่นมาทำงาน และคนไม่อยากตื่นมาเจอชีวิตในความเป็นจริง
วิธีคิดนี้อาจจะไม่จริง อาจจะเป็นแค่การจับเรื่องหนึ่งมาโยงกับอีกเรื่องหนึ่ง ผมอาจจะสังเกตช้าไปเอง เด็กไม่อยากไปโรงเรียนอาจจะมีมาตั้งแต่การศึกษาภาคบังคับยังเป็น ป.4 ผู้ใหญ่ไม่อยากตื่นมาทำงานอาจจะมีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา คนไม่มีความสุขมีมาแต่ไหนแต่ไร ผมคงประกาศอย่างแน่ชัดไม่ได้หรอกว่ามันเยอะขึ้น และยิ่งไม่มีสิทธิ์จะบอกว่ามันเยอะขึ้นเพราะอะไรในภาพรวม เพราะสิ่งที่ผมรับรู้มาจากคนไข้แต่ละรายก็คงไม่ใช่เหตุผลเดียวกันล้วน ๆ
เริ่มที่เด็กและวัยรุ่นก่อนแล้วกันครับ เพราะปัจจัยต่าง ๆ ในชีวิตน่าจะยังไม่ซับซ้อนมากเท่าพวกผู้ใหญ่ เวลาผมคุยกับคนไข้หรือแม้กระทั่งเข้าสอนนิสิตแพทย์ เมื่อผมถามว่า “คุณรู้สึกอยากตื่นมาเรียนหนังสือ ดีใจที่จะได้มาเรียนหนังสือวิชาใดวิชาหนึ่งครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ?” คนไข้มักจะบอกว่าจำไม่ได้ ส่วนพวกนิสิตแพทย์อาจจะตอบว่า “นานมาแล้ว” หรืออาจจะตอบว่า “ไม่ค่อยมีนะ และโดยมากที่อยากมาโรงเรียนเพราะอยากมาเจอเพื่อน ๆ มากกว่า” นั่นสิครับ ทำไมโรงเรียนถึงกลายเป็นที่ที่คนไม่อยากไป ทำไมการศึกษาถึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยให้ความสุขแก่ชีวิต
คำถามเหล่านี้จะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลย ถ้าเราตอบกันไปง่าย ๆ ว่า ก็เพราะมันต้องเป็นอย่างนั้น แล้วก็ให้เด็ก ๆ อนาคตของชาติอยู่อย่างทน ๆ ไป โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ยุคนี้การละเล่นของเด็ก ๆ ล้วนแต่เป็นเกมทั้งคอมพิวเตอร์และทางอินเตอร์เน็ต ผู้ใหญ่ทุกคนกลัวเด็กติดเกม เพราะเกมนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความสุข ใครเล่นก็สนุกทุกราย แทนที่เราจะให้ระบบการศึกษาและครอบครัวที่มีความสุข เรากลับบีบพวกเขาเยอะขึ้นด้วยคำว่า จงทน (กับเรื่องน่าเบื่อ) ดังนั้นไม่แปลกเลยที่เด็กก็ติดเกม ติดอินเตอร์เน็ตกันไปหมด ก็เพราะพวกเขายิ่งขาดความสุขกันนั่นเอง
ที่กึ่งเล่ากึ่งบ่นมาเสียยืดยาวนี้ก็เพื่อจะปูเรื่องมาถึงเรื่องที่ผมเพิ่งเจอมาเมื่อสัก 2-3 เดือนก่อน เรื่องเด็กผู้ชายวัยมัธยม 4 คนหนึ่งสมมติว่าชื่อ กิ้ง ละกันนะครับ หนุ่มน้อยตัวกลม ๆ ใส่แว่นคนนี้ถูกพ่อแม่พามาคุยกับผม (ที่จริงต้องเรียกจับมา) ด้วยปัญหาที่ว่า “เด็กเขาไม่อยากตื่นมาเรียน อยากนอนอยู่บ้าน ต้องฝืนกันทุกเช้า ดูไม่มีความสุขมาตั้งแต่เด็ก ๆ ติดเกมมาก พอพ่อแม่ไปตักเตือนก็โวยวาย บอกว่าอยากตาย”
บอกตามตรงว่าพอทำงานกับวัยรุ่นก็จะแหยง ๆ กังวล ๆ เพราะปัญหาวัยรุ่นนั้นผมต้องใช้เวลาใช้พลังงานกับการคุยเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทำยังไงให้วัยรุ่นมองหมอแล้วไว้ใจที่จะเปิดใจ มองว่าหมอเป็นผู้ช่วย ไม่ใช่เป็นผู้ใหญ่อีกคนที่จ้องจะมาควบคุมเขาหรืออยู่ฝ่ายเดียวกับพ่อแม่ และยังต้องใช้เวลาบวกพลังงานอย่างหนักยิ่งกว่ากับพ่อแม่ของเด็กวัยรุ่นเพื่อเปลี่ยนวิธีคิดที่เป็นอุปสรรค เปลี่ยนความรักแบบห่วงกังวลเลยต้องควบคุมให้กลายเป็นความไว้ใจในลูกตัวเอง และเปิดอิสระให้เขาได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง เพราะการมีชีวิตที่เป็นของตัวเองเท่านั้นที่จะเจ้าตัวจะรู้สึกถึงความหมายของชีวิตในตัวเอง ความหมายที่คนอื่นยัดเยียดและเขียนบทให้ย่อมไม่ถือเป็นความหมายถ้าไม่ใช่ชีวิตที่ลิขิตเอง
วันแรกที่ผมพบกับกิ้ง เด็กผู้ชายตรงหน้าผมคนนี้ไม่ได้ดูเสียผู้เสียคนอะไรเลย เป็นเด็กเนิร์ด ไม่มีท่าทางยียวนกวนใด ๆ เขาเล่าว่าเขาไม่มีความสุข เคยสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไม และอยากมาหาจิตแพทย์ตั้งนานแล้ว แต่ไม่รู้จะมายังไงเพราะทางบ้านควบคุมตลอด จนเมื่อเขาเริ่มพูดบ่อย ๆ ว่าอยากตาย พ่อแม่ก็หาโอกาสพามาพบจิตแพทย์เอง เขายิ้มแห้ง ๆ บอกว่า จริง ๆ ก็ดีเหมือนกัน เขาก็อยากมาเจอจิตแพทย์นานแล้ว
“หมอฟังดูเหมือนเป็นการขู่ฆ่าตัวประกันเลย เหมือนคุณจับตัวเองไว้แล้วบอกกับผู้ใหญ่ว่า ถ้าไม่ยอมรับฟังฉัน ไอ้เจ้านี่ตาย !”
กิ้งยิ้มแบบจ๋อย ๆ “ก็คล้ายจริง ๆ แหละครับ”
“ที่หมอทักไม่ได้แปลว่าคุณทำผิดนะที่ต้องขู่ หมอคิดว่าเป็นเพราะปกติคุณพ่อคุณแม่ไม่รับฟังอะไรคุณเลยมากกว่าหรือเปล่า?”
เด็กเนิร์ดคนนี้อ่อนไหวมาก เขาเริ่มน้ำตาคลอ “ผมอึดอัดมากครับหมอ ที่พูดนี่ไม่ได้แกล้งขู่ บางครั้งผมก็คิดว่าอยู่ไปเพื่ออะไรถ้าทำสิ่งที่ควรทำไม่ได้ สารภาพกับหมอตามตรงผมคิดว่า ในอนาคตถ้าพ่อแม่ตายไปแล้ว ผมหมดธุระที่ต้องตอบแทนเขา ผมคงฆ่าตัวตายเพราะไม่ได้มีความจำเป็นในการมีชีวิตอยู่”
“อืม…ครับ เหตุผลในการจะอยู่จะไปนี่ดูมันขึ้นกับคนอื่นทั้งนั้นเลยนะ”
“พ่อแม่ไม่ใช่คนอื่นนะครับหมอ”
“ไม่ พ่อแม่เป็นคนอื่น ทุกคนเป็นคนอื่น คนที่เป็นคุณมีแต่คุณเท่านั้น หมอว่าเหตุผลในการมีชีวิตของเราควรมาจากระบบของเราเอง”
“ผมกลัวว่ามองแบบนั้น จะเป็นคนแก่ตัว เป็นลูกอกตัญญู”
“ไม่หรอก คนเราอยู่เพื่อตัวเองแน่ะปกติออก หมอมองว่าคนที่พยายามให้คนอื่นต้องอยู่ตามความต้องการของเขาต่างหากเป็นฝ่ายเห็นแก่ตัวกว่าอีกนะ”
กิ้งเล่าว่าตั้งแต่จำความได้เขาก็เรียนหนังสือ จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ครูอนุบาลชมประมาณว่าฉลาดสุดในโรงเรียน พ่อแม่ก็ดูดีใจประมาณหนึ่ง แต่ต่อมาการเรียนเริ่มมากขึ้น เขาต้องเรียนพิเศษแต่ประถม การเรียนให้เก่งกลายเป็นเรื่องปกติที่ ‘ต้องเก่ง’ พ่อแม่และญาติ เริ่มพูดว่าต้องเรียนให้เก่งนะจะได้เป็นหมอ เขาเครียดมาก กลัวโตมาแล้วทำไม่ได้อย่างที่ผู้ใหญ่คิดกัน ตอนมัธยมเขาก็ต้องไปเข้าที่โรงเรียนมัธยมชื่อดังซึ่งอยู่ไกลบ้านมาก แต่พ่อแม่เชื่อว่าดี พยายามผลักดันกิ้งทุกอย่างให้สอบให้ติด แล้วเขาก็ทำได้จริง ๆ
“ตอนสอบได้ผมก็แค่โล่งใจ เหมือนเรารอดแล้ว จะได้ไม่โดนบ่น ไม่ทำให้ใครผิดหวัง แค่นั้นเองจริง ๆ ครับ ไม่ได้รู้สึกดีอะไรเลย ผมอยากเรียนใกล้ ๆ บ้าน ผมเบื่อรถติด เบื่อที่ต้องตื่นเช้า กินข้าวเช้าในรถ มีวันหนึ่งผมนั่งรถที่แม่ขับไปส่งตอนเช้า มือหนึ่งถือแซนวิชแฮมชีส อีกมือถือนมกล่อง บ่นกับแม่ว่า ทำไมต้องไปเรียนไกล ๆ ด้วย แม่ผมหันหน้ามา เขาร้องไห้ แต่ว่าผมเสียงดังลั่นรถเลย บอกว่าแค่นี้ต้องบ่น แล้วแม่ล่ะตื่นมาเช้ากว่าลูกอีก เตรียมข้าวของให้ ขับรถไปส่งให้ เหนื่อยกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า ทั้งพ่อและแม่ทุ่มเทให้ผม ผมแค่แต่งตัวแล้วนั่งรถมาเฉย ๆ ยังจะมาบ่นอะไรอีก ผมร้องไห้ ผมรู้ว่าแม่ลำบาก แต่หมอครับ ผมไม่ได้อยากให้แม่มาลำบากเพื่อผมเรื่องนี้ ผมแค่สงสัยว่าทำไมเราต้องมีชีวิตที่ยากอย่างนี้ด้วย”
“ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น? หมอขอเดานะ หมอว่า เพราะทุกคนเขาเชื่อว่าทำแบบนี้แล้วมันจะดี”
“ผู้ใหญ่ก็ชอบยัดเยียดสิ่งที่เขาคิดว่าดี แล้วมันดีจริงเหรอครับหมอ”
“ไม่ว่ามันจะดีจริงไหม วิธีการมันก็ไม่ดีแล้วล่ะ เพราะมันยัดเยียดมันไม่ใช่ชีวิตเพราะเจ้าของชีวิตไม่ได้เลือก”
“ผมเครียดครับ เหมือนกระดิกตัวออกนอกเส้นทางนี้ไม่ได้ ตั้งแต่ขึ้น ม.4 ยิ่งเครียด เพราะผมไม่ได้อยากเรียนสายวิทย์ ผมไม่ได้อยากเป็นหมอด้วย ผมชอบเรียนทางภาษามากกว่าครับ”
กิ้งเล่าว่าเขามีความฝันในใจอยู่อย่างหนึ่งคือการได้ท่องเที่ยวไปในโลกกว้างแบบแบคแพ็คเกอร์ ตั้งแต่เด็กเมื่อเขาว่างหรือปิดเทอม เขาจะแอบเรียนภาษาทางอินเตอร์เน็ต เช่น ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี เขาอยากลุยเดี่ยว เดินทางคนเดียวเลย จะได้ทำสิ่งที่อยากทำ
“โอเคหมอเข้าใจความเครียดคุณ และหมอรู้จักความฝันคุณแล้ว ที่หมอจะถามคุณก็คือ ตอนนี้ลึก ๆ ในใจ คุณต้องการอะไรสมมติว่าไม่มีใครบังคับคุณแล้ว คุณเลือกได้เองล้วน ๆ”
“ผมนึกไม่ออกครับ”
ผมจึงสมมติอะไรแผลงขึ้นมาหน่อย อาจจะดูก้าวร้าว แต่เพื่อช่วยให้กิ้งเปิดจินตนาการตัวเองได้ ผมจึงถามไปว่า “สมมติพ่อแม่คุณเสียชีวิตไปกระทันหัน ไม่เหลือใครควบคุมคุณแล้ว ทิ้งมรดกไว้ให้คุณก้อนหนึ่ง ซึ่งน่าจะพอใช้จนเรียนจบ คุณจะอยากใช้ชีวิตยังไง”
กิ้งดูตกใจเล็ก ๆ กับโจทย์ของผม แล้วก็ก้มหน้าครุ่นคิด จากนั้นเขาก็ดูจะมีคำตอบในใจ “ผมคงขอดรอปการเรียน แล้วค่อย ๆ อ่านหนังสือจะไปสอบเข้า (โรงเรียนมัธยมปลายชื่อดัง) สายศิลป์ภาษาครับ”
ผมยิ้ม ดีใจเหมือนหมอทำคลอดที่เห็นเด็กคลอดออกมาได้ อันนี้เป็นการทำคลอดความต้องการที่มาจากตัวเอง
“คุณหมอเห็นด้วยกับผมเหรอครับ”
“ครับ แต่หมอขอทำความเข้าใจกับคุณก่อนว่าหมอเห็นด้วยในจุดที่ว่าชีวิตของคุณ คุณควรได้เลือกเอง ส่วนเรียนสายศิลป์ภาษาแล้วจะดีไม่ดีนั้น หมอไม่สามารถช่วยตัดสินได้นะครับ”
เมื่อผมรู้แล้ว ผมก็เชิญพ่อแม่ของกิ้งมาคุยด้วย ชี้แจงให้เขาเข้าใจว่ากิ้งคิดยังไง ซึ่งผู้ปกครองเขาก็ไม่ได้ทำท่าทีเห็นด้วยหรือขัดแย้งอะไรเลย รับฟังนิ่ง ๆ หลังจากคุยวันนั้นบ้านนี้ก็เงียบไปพักหนึ่ง ต่อมาผมก็ได้ข่าวมาว่า “กิ้งอาการแย่ลง ไม่ยอมไปโรงเรียนเลย ร้องไห้ อยากตายอยู่ตลอด” ผมจึงนัดเขามาอีกครั้ง
กิ้งเล่าว่า หลังจากที่พบผมครั้งแรก เขาก็ถูกพ่อแม่เรียกไปอบรมยาว บอกว่าทำไมต้องเล่าให้หมอเข้าใจว่าพ่อแม่เลี้ยงดูได้แย่แบบนั้น เรียนภาษาแล้วจะไปทำอะไรกิน อย่าเอาแต่หาความสุขสิ ในสังคมตอนนี้มีปัญหาเศรษฐกิจ มีแต่อาชีพหมอเท่านั้นที่มั่นคง ทนเอาหน่อย สอบติดก็สบายแล้ว เขาจึงยิ่งท้อแท้ ประกอบกับการสอบที่ถี่ยิบในขณะที่เขาไม่มีอารมณ์จะอ่านหนังสือ ยิ่งทำให้เขาทำข้อสอบเก็บคะแนนได้ไม่ดี เขาก็เลยยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเอง พลอยอยากตายกันเข้าไปใหญ่ นอกจากนี้เขายังมีความลับอันยิ่งใหญ่ที่ต้องเก็บซ่อนไว้อีก
“คราวที่แล้วผมมีเรื่องกลุ้มใจอันหนึ่งยังไม่ได้บอกหมอ ผมเป็นเกย์ครับ พ่อแม่ผมรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่ ๆ ผมไม่รู้จะพูดยังไง เลยไม่พูดดีกว่า แต่พอแค่คิด น้ำตาก็ไหล แล้วมันรู้สึกแย่ เราทำให้พวกเขาผิดหวังในตัวเราทุกเรื่อง ทุก ๆ เช้า ผมอยากนอนต่อไม่อยากตื่น ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ ยิ่งเจอหน้าพวกเขาผมยิ่งรู้สึกผิด ยิ่งอยากตาย คุณหมอรู้ไหมว่าผมเสิร์ชหาวิธีฆ่าตัวตายในอินเตอร์เน็ต มีคนพิมพ์ไว้มากมาย ผมก็อ่าน ๆ ไป ใจตอนนี้มันยังบอกว่า อย่านะ แต่ผมกลัวครับ…กลัวว่าวันหนึ่งมันจะคุมไม่ได้”
พอคุยกับเขาเสร็จ ผมก็พบกับผู้ปกครองของเขาอีกครั้ง มาดพวกเขายังเหมือนเดิม เล่าพฤติกรรมทุกอย่างของลูกด้วยภาษาทางการแพทย์ เรียกมันว่าอาการต่าง ๆ ของโรคซึมเศร้า ไม่ได้แตะปัญหาวิธีการอยู่ร่วมกับลูก สองสามวันต่อมากิ้งก็ทำอย่างที่เกริ่นไว้จริง เขากินยาพาราเซตามอลไปสิบกว่าเม็ด ที่บ้านพามาส่งโรงพยาบาล พอกิ้งทำถึงขั้นนี้ทางบ้านเขาเริ่มเข้าใจว่า ที่ลูกบอกอยากตายมาตลอดนั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อีกแล้ว ผมถามเขาตรง ๆ ว่า ระหว่างลูกเรียนอย่างที่้เขาอยากเรียน แต่สุขภาพจิตดีขึ้น กับลูกเรียนอย่างที่พวกคุณอยาก แต่ในใจอยากตายตลอดเวลา คุณจะเอาอย่างไหนกันแน่ พ่อแม่คู่นี้ยังกลัวจะเสียลูกไปจริง ๆ จึงยอมให้ลูกทำตามที่ต้องการ ดรอปเรียนไปก่อน ตอนนี้กิ้งอยู่บ้านอ่านหนังสือเตรียมไปสอบเข้าสายศิลป์ภาษา และระหว่างนี้ก็ฝึกภาษาทั้งญี่ปุ่นทั้งเกาหลีอย่างมีความสุขตามฝันของเขา ส่วนเรื่องความเป็นเกย์ ระหว่างนี้เขาเลือกที่จะเก็บไว้ก่อน เพราะเขาบอกว่าคงไม่ได้อยากจะมีแฟนมีเซ็กซ์อะไรกับใครในตอนนี้
ถามว่า แล้วปล่อยให้เด็กวัยรุ่นทำตามใจแบบนี้จะดีเหรอ อนาคตจะเป็นยังไงล่ะ คำตอบของผมคือ ผมก็ไม่ทราบ ในส่วนที่ทราบคือ อนาคตจะเป็นยังไงไม่น่าห่วงเท่าปัจจุบัน ตอนนี้สิ่งที่กิ้งทำสะท้อนว่า เขาได้ชีวิตของเขากลับมาแล้ว เพราะเขาได้เลือกเอง เขาเลิกเบื่อตอนเช้า ๆ เลิกคิดอยากตาย เขามีเป้าหมายแล้วว่าจะอยู่ไปทำไม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แสนจะบันดาลใจเพราะมันมาจากตัวเขาเอง
เรื่องนี้ที่ผมอยากเล่า เพราะเผื่อจะมีบางบ้านกำลังเจอสถานการณ์คล้าย ๆ กัน คุณจะอยากไปตกลงกับลูกของคุณอีกครั้งที่โรงพยาบาลเพราะลูกคุณกินยาจะฆ่าตัวตาย หรืออยากจะตกลงกับลูกได้ง่าย ๆ ตั้งแต่อยู่ที่บ้าน ถ้าวันนั้นการฆ่าตัวตายที่กิ้งเลือกมีความรุนแรงกว่านี้ เขาอาจจะไม่ได้ตื่นมาอีกเลย วันนี้พ่อแม่อาจจะไม่เหลือโอกาสที่จะปล่อยเขาเลือกทางของเขา อย่าปล่อยให้ลูกคุณต้องเสี่ยงเท่ากิ้งคนนี้เลยนะครับ
…..จบ…...
ภาพประกอบโดย วาดสุข
Resource: HealthToday Magazine, No.198 October 2017