ห้องตัวเอง – ห้องคนอื่น

นพ.ภุชงค์ เหล่ารุจิสวัสดิ์ จิตแพทย์

0
1502

…ฉันก็ไม่ได้อยากจะบ่นหรอกนะ แต่ถ้าเธออยากจะฟังฉัน เรื่องที่พอจะพูดได้ก็มีแต่คำบ่นอ่ะแหละ มีโค้ชชื่อดังบอกว่าคิดบวกแล้วชีวิตจะบวก ฉันก็ไม่เถียงหรอกว่ามันไม่จริง แต่มันทำไม่ได้ไง ตอนแย่ ๆ ฉันไม่รู้จะเอาชีวิตด้านไหนมาคิดให้บวกนี่นา เรื่องจริงที่ทำไม่ได้เลยไม่มีความหมายสำหรับฉัน

ฉันผู้ที่กำลังจะบ่นอยู่นี้ คือ ผู้หญิงวัยสามสิบกลาง ๆ ทำงานอยู่ฝ่ายประเมินคุณภาพขององค์กรแห่งหนึ่ง อย่าไปรู้เลยว่าที่ไหน ที่ไหนก็คล้าย ๆ กัน มีเจ้านาย มีลูกน้อง มีงาน มีความคาดหวัง แล้วเจ้านายก็กดดันลูกน้องให้ได้ตามความคาดหวัง แลกกับเงินที่จ่ายให้เป็นเงินเดือน ความคาดหวังของพวกเจ้านายมาในชื่อต่าง ๆ กัน ทาร์เกตบ้าง ตัวชี้วัดบ้าง สัมฤทธิ์ผล ประสิทธิผล อะไรเทือก ๆ นั้น แล้วเขาตั้งลูกน้องคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งมาควบคุมลูกน้องกันเอง ซึ่งฉันคือตำแหน่งนี้ ถ้าได้ตามที่เจ้านายต้องการ เขาก็บอกว่า ได้คุณภาพ จะเรียกว่า คิวซีหรือไอเอสโออะไรก็ว่าไป ถ้าไม่ได้ตามที่เขาตั้งไว้ (ซึ่งเขาก็ตั้งให้สูงลิบไว้ก่อนทุกที) เจ้านายเขาก็มาไล่จี้ที่ฉันว่าทำไมทำไม่ได้ ทำไมห่วย ทำไมไม่พัฒนา ทั้งที่ฉันไม่ใช่คนทำเลย เป็นแค่ผู้ประเมินเฉย ๆ เกณฑ์พวกนั้นฉันก็ไม่ได้คิดเองถูกกดมาอีกที พอจะเดาได้ไหมว่า เวลาที่ฉันลงไปคุยกับหน่วยอื่น ๆ พวกเขาจะรู้สึกยังไง ฉันก็กลายเป็นคนที่คนไม่อยากเจอ เพราะเจอทีไรก็คุยเรื่องยังทำไม่ได้ตามแผนตามเป้า ฉันพอจะรู้ว่าเขาไม่ได้รังเกียจอะไรตัวฉันหรอก มันก็แค่ตำแหน่งงาน แต่เจอสีหน้าที่สะท้อนกลับมาอย่างแหนงหน่ายบ่อย ๆ ฉันก็รู้สึกแย่ ฉันเหมือนคนตรงกลาง ไม่ใช่พวกเจ้านาย ไม่ใช่พวกลูกน้อง ฉันแบกรับปัญหาจากทั้งสองฝ่ายแต่ก็ทำได้ไม่ถูกใจทั้งสองฝ่าย ฉันกำลังสงสัยว่า ฉันคือคนที่ไม่มีความสุขที่สุดในที่ทำงานแล้วหรือเปล่า แน่นอนว่าฉันเบื่องานนี้มาก จันทร์ถึงศุกร์ลืมตาตื่นมาก็เริ่มเบื่อตั้งแต่ตื่นเลย หลัง ๆ เข้า เสาร์อาทิตย์ก็ยังเบื่อ เพราะรู้ว่าเดี๋ยววันจันทร์ฉันก็เจอกับสิ่งน่าเบื่อเดิม ฉันยังรู้สึกผิดถ้าจะไม่ทน และไม่กล้าไปเสี่ยงหางานใหม่ แต่ก็รำคาญที่ต้องทำงานในตำแหน่งที่ไม่มีฝ่ายไหนชื่นชอบ

ทำไมไม่ลาออกไปเลยล่ะ? อ้าว…ก็แล้วจะเอาที่ไหนที่กินที่ไหนใช้ ฉันไม่ได้ฐานะดีอะไรนัก อายุและวุฒิการศึกษาก็ใช่ว่าจะดีจนเลือกงานได้ตามใจปรารถนา แน่นอนว่าฉันอยากเปลี่ยนงาน มันน่าเบื่อโคตร ๆ กับตำแหน่งที่ชื่อฝ่ายควบคุมคุณภาพ ตอนแรกจะขอย้ายในบริษัท เจ้านายก็ถามหาสาเหตุ พอฉันชี้แจงไป เขาก็ทำเสียงเรียบไร้อารมณ์ว่า ฉันคิดเหรอว่าจะมีที่ที่ไม่ขัดแย้ง ตำแหน่งไหน ๆ ก็มีความขัดแย้งทั้งนั้น ถ้าจะย้ายไปฉันก็ต้องเจอความขัดแย้ง และก็ไม่มีความสุขอีก เพราะปัญหาอยู่ในใจฉัน อ้าว…มาปรึกษาแท้ ๆ กลับโดนด่าเพิ่มอีก ยิ่งทำให้ฉันหมดไฟมากยิ่งขึ้น กลับไปบ้านร้องไห้ทั้งคืนเลยวันนั้น เรื่องบ้านนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ตามวัยนี่ฉันก็น่าจะถือว่าเป็นผู้ใหญ่มาก ๆ แล้ว เผลอ ๆ อีกแป๊บเดียวก็จะหมดประจำเดือนแล้วด้วยซ้ำ แต่การยังต้องอยู่กับพ่อแม่วัยเจ็ดสิบนี่ โดยเปรียบเทียบก็เหมือนยังไม่โต เขาก็ยังมาพยายามควบคุมชีวิตฉัน ฉันจะตื่นกี่โมง กลับบ้านกี่โมง นอนกี่โมง ก็ยังคอยมาจู้จี้ น่ารำคาญตรงที่เขาจะมารู้ดีกว่าฉันได้ยังไงเรื่องการใช้ชีวิตของฉันน่ะ วันไหนจะทำอะไรฉันก็วางแผนตารางเวลาของฉันเองอยู่แล้ว เขาคงไม่มีอะไรจะให้หมกหมุ่น เพราะพี่น้องคนอื่นมันแยกตัวไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว เหลือฉันที่อยู่กับพ่อกับแม่

ทำไมไม่ย้ายออกล่ะ? คนอื่นอาจจะคิดว่าฉันขี้เกียจ ไม่ขวนขวาย ทำไมไม่ไปผ่อนคอนโด หรือเก็บตังค์ซื้อบ้านอยู่ข้างนอก ฉันก็อยากอยู่นะ แต่สงสารพ่อแม่ที่แก่แล้ว อยู่กันสองคนตายายเกิดอะไรอะไรขึ้นก็ไม่มีใครดูแล พ่อแม่เองถึงแม้ไม่ได้บังคับให้ฉันต้องอยู่ด้วย ก็พูดทำนองว่าไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่ด้วยกันแหละดีแล้วอะไรอย่างนี้อยู่บ่อย ๆ ฉันยังรู้สึกผิดถ้าจะทิ้งพวกเขาไป แต่ฉันก็รำคาญที่จะอยู่เจอคำบ่นและการควบคุมฉันราวกับเป็นเด็ก ๆ ตอนนี้ฉันไม่มีความสุขเอามาก ๆ ขนาดไม่รู้จะไปทางไหน ฉันไม่อยากกลับบ้าน ฉันไม่ได้ไม่รักพ่อแม่นะ แต่ฉันทนเขาไม่ไหว เขาพูด พูด พูด พูดไม่หยุดราวกับรู้ไปเสียทุกเรื่อง แนะนำอะไรเชย ๆ ไม่เข้ายุคสมัย บ่นอะไรน่าเบื่อ ๆ เรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่บ้านมีหนู มีตุ๊กแก น้ำรั่ว แก๊สหมด ใครไม่ปิดน้ำ ใครไม่ล็อคประตูบ้าน เห็นคนงานก่อสร้างข้างบ้านดูไม่น่าไว้ใจ เดินกลับบ้านให้ระวัง โอ้ย!!! นี่จะกลัวบ้ากลัวบออะไรไปหมด ฉันโกรธแล้วต้องมารู้สึกผิดที่โกรธ ฉันรู้ว่าเขาเหงาไม่มีคนคุยด้วย ฉันรู้ว่าเขาพูดอย่างนี้เพราะชีวิตเขามีเท่านี้ และฉันก็รู้ว่าเขาห่วง แต่ฉันรำคาญ ฉันไม่ไหว

ที่ทำงานก็ไม่อยากอยู่ นั่ง ๆ สักพักงานก็มา คุณเจ้านาย (ซึ่งวัยพอกับพ่อแม่ฉัน) ราวกับว่าพอเห็นฉันว่างก็พุ่งเขามาพูด พูด พูดอีก เล่าวิสัยทัศน์เลอเลิศแบบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล บอกให้ฉันลงไปชี้แจงผู้ปฎิบัติงานว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เขาไม่มีสติคิดเสียหน่อยหรือไรว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ต้องมาได้ยินความคิดแบบหลงตัวเองแบบนี้ และฉันจะรำคาญน้อยกว่านี้ถ้าเขาเองทำตามสิ่งเขาพูดและทุ่มทุนลงไปบ้าง นี่ตัวเองก็ไม่ทำ เปย์ก็ไม่เปย์ เอาแต่สั่ง มันงี่เง่ายิ่งกว่านิทานอีสปที่อยากให้ห่านออกไข่เป็นทองคำเสียอีก และแน่นอนเขาเป็นเจ้านาย ฉันก็ได้แต่ยิ้มๆ พยักหน้าเชื่อง ๆ และทนฟังไป แต่ถ้าเลี่ยงได้ ชิ่งได้ ฉันก็จะไม่อยู่ให้เขามาพ่นอะไรใส่ให้รกสมองฉัน

ฉันจึงไม่มีที่ไป ไม่อยากอยู่ที่ทำงาน ไม่อยากกลับบ้าน เดินล่องลอยอยู่ที่ศูนย์การค้าแถวบ้าน เพื่อนฝูงน่ะเหรอ ก็มีนะ แต่ฉันอยากเจอพวกเขาตอนที่พร้อมกว่านี้มากกว่า ยุคนี้คนมันก็ไม่มีความสุขกันทั้งนั้น ฉันไม่ควรเอาความทุกข์ของฉันไปใส่ใครแล้ว ไว้เจอตอนอารมณ์ดี ๆ ดีกว่า ฉันเลยเดินเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย บางทีก็นั่งนิ่ง ๆ ในร้านกาแฟ มีวันหนึ่งฉันรอจนดึกกะว่าพ่อแม่นอนแล้วค่อยกลับบ้าน ปรากฏว่ากลับไปพวกเขายังรอฉันกลับพร้อมทั้งบ่นเสียใหญ่โตที่ฉันกลับช้า ทำให้พวกเขาต้องเป็นห่วงไม่ได้นอนเลย นี่มันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว

ฉันเลยสงสัยกับชีวิตตัวเองอย่างรุนแรง นี่ฉันไม่มีความสุขเพราะฉันมันแย่เองใช่ไหม ฉันควรจะทำอะไรให้มันถูกใจทุกคนเลยใช่ไหม พวกเขาจะได้ไม่ต้องมาบ่น ๆ ใส่ฉัน ฉันไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้ อยากจะหนีไปจากทุกสิ่ง ตาย ๆ ไปซะดีใหม่ อ้าว…ตายไม่ดีอีก พระท่านบอกว่าฆ่าตัวตายแล้วมันบาปหนัก งั้นฉันอยากหนีไปไกล ๆ ไม่มีใคiรู้จัก แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ มีชีวิตที่เลือกเองได้ตอนนี้ ไม่ต้องแคร์ใคร ชีวิตตอนนี้มันช่างห่างไกลกับที่ใจปรารถนา ฉันเกลียดตัวเองเหลือเกิน เพราะมันไม่ใช่ชีวิตอย่างที่ฉันต้องการเลย

อยู่มาวันหนึ่ง เพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งก็ทักมา เราสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว ตอนนี้ยังก็ยังติดต่อกันบ้างเรื่อย ๆ ฉันชอบเพื่อนตอนมัธยม เพราะฉันว่าสมัยนั้นคนเรายังไม่ได้คบกันด้วยผลประโยชน์ มันดูเป็นเพื่อนแท้มากกว่าที่มาเจอตอนโต ๆ กันแล้ว และก็ดีตรงฉันจะได้ไม่ต้องรีบกลับบ้านเร็วนัก เรากินข้าวเย็นด้วยกัน แล้วก็กินขนมต่อตามสูตร (ซึ่งไม่ค่อยดีนัก ถ้ากินทุกวันคงอ้วนและจนมาก) จู่ ๆ มันก็เล่าว่า ช่วงนี้มันป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ฉันตกใจเพราะฉันคิดว่ามันดูปกติมาก น่าจะแจ่มใสและมีความสุขกว่าฉันด้วยซ้ำ มันบอกว่า ใคร ๆ ก็เข้าใจแบบนั้น แต่ข้างในมันไม่ใช่เลย มันรู้สึกล้มเหลวกับชีวิต มันเรียนสูง จบปริญญาโทมหาวิทยาลัยชื่อดัง มันทำงาน

ในบริษัทชั้นนำที่ใคร ๆ ในประเทศก็มองว่าเจ๋ง แต่มันก็ไม่มีความสุข ตอนนี้กินยารักษาโรคซึมเศร้าอยู่ ก็พอจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง ฉันจึงถามไถ่ปัญหาของเพื่อนด้วยความเป็นห่วง และก็พบว่าเรามีปัญหาคล้ายกัน คือมันก็เครียดจากที่ทำงานและจากที่บ้านเหมือนฉัน มันก็เบื่องาน เบื่อชีวิต และคิดอยากตายให้มันจบ ๆ ไปเหมือนฉัน เพื่อนเล่าว่าตอนเศร้า ๆ จะคิดถึงสมัยเรียนมัธยมที่มีความสุขดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก เลยอยากเจอเพื่อนสมัยมัธยม และก็เลยนัดเจอฉันมา

ฉันเลยคิดจะกินยาเหมือนเพื่อนดูบ้าง ส่วนเรื่องคุย ๆ แก้ปัญหาชีวิตนั้นฉันเฉย ๆ ฉันไม่คิดว่าปัญหามันจะมีทางออกตรงไหน และหมอก็ไม่น่าจะเข้าใจชีวิตฉันดีกว่าตัวฉันเอง (จริงไหม) แต่ใจนึงก็ลังเล เพราะถ้าพ่อแม่รู้ ที่ทำงานรู้ มันก็กลายเป็นว่า ฉันคือตัวปัญหาจริง ๆ อย่างที่พวกเขาคิด และเขาก็คงไม่ได้จะเฉลียวใจขึ้นมาหรอก พวกเขาต่างหากที่ทำฉันเครียดแค่ไหน แต่ใจหนึ่งก็อยากลองกินยา เพื่อนก็เชียร์มาก บอกฉันว่าตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่กินแล้วเครียดน้อยลงจริง หายตึง หายหงุดหงิด พร้อมจะแก้ปัญหาชีวิตมากขึ้นมาก ฉันจึงไปโรงพยาบาลเดียวกับที่เพื่อนฉันไปในวันที่มันต้องไปตรวจอยู่แล้ว และบอกที่บ้านว่ากลับช้าไปเที่ยวกับเพื่อน (เที่ยวโดยมานั่งรอหมอในโรงพยาบาล)

ฉันนั่งเรียบเรียงเรื่องราวว่า พอเจอหมอแล้วฉันจะเล่าให้เขาฟังอย่างไรดี แต่พอเจอหน้าจิตแพทย์ เขาถามฉันสั้น ๆ ว่า “อยากให้ช่วยยังไงบ้าง?”  ฉันพยายามจะเข้าเรื่องโดยเล่าถึงตอนทำงานใหม่ ๆ ก่อน เพราะกลัวเขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์ของฉัน จิตแพทย์กลับยกมือขึ้นให้ฉันหยุดพูด แล้วบอกให้ฉันตอบคำถามเขาก่อน

ฉันเลยร้องไห้ รู้สึกแย่ หมอบอกว่า หมอทราบว่าฉันอยากให้ฟังเรื่องของฉัน แต่ฉันคิดว่าหมอฟังแล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ แทนที่จะพูดเรื่องเดิม ๆ ที่เคยคิดไว้ มาคิดเรื่องใหม่ที่จะเป็นอนาคตที่เราอยากได้ไม่ดีกว่าเหรอ ฉันอึ้งไปสักพัก แล้วบอกหมอว่า ฉันก็ไม่รู้ หมอเลยถามใหม่ว่า ตอนนี้ไม่มีความสุขใช่ไหม ฉันพยักหน้าว่าใช่ หมอบอกว่าโอเค งั้นความสุขของคุณหน้าตาเป็นยังไง ฉันก็ยังบอกว่าไม่รู้อยู่ดี หมอถามว่า แต่พอรู้ใช่ไหมว่าอะไรทำให้ไม่มีความสุข

ฉันบอกว่า ใช่ ฉันรู้ แล้วฉันก็เล่าว่า ชีวิตของฉันติดแหงกอยู่กับเรื่องอะไร หมอบอกว่าฟังแล้ว คุณสับสนเหมือนใจมันไม่มีที่อยู่ แล้วเขาก็เอากระดาษมาวาดรูป เปรียบเทียบว่าชีวิตฉันเหมือนมีห้องสองห้อง “ห้องตัวเอง” กับ “ห้องคนอื่น” ซึ่งฉันไม่ได้เข้าสักห้อง ห้องตัวเองฉันก็พักอย่างสงบในนั้นไม่ได้เพราะฉันไม่ชอบตัวเองที่เป็นอย่างนี้ ส่วนห้องคนอื่นฉันก็ไม่อยากเข้าเพราะทนไม่ไหว ฉันบอกว่ามีเรื่องที่บ้านกับเรื่องงานด้วย หมอบอกว่าใช่ แต่ทั้งเจ้านายทั้งพ่อแม่ก็เป็นคนอื่น ไม่ใช่ตัวคุณสักหน่อย และพอคุณเข้าไปพักไม่ได้ทั้งสองห้อง ใจเลยไม่ได้พัก ได้แต่เดินไปเดินตรงระเบียงกลางอย่างหงุดหงิด

หมอถามว่า พอเห็นภาพนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง ฉันว่าก็จริง ตอนนี้ได้แต่เดินบนระเบียง ถ้าวันไหนเซ็ง ๆ อาจจะอยากโดดระเบียงตาย ๆ ไปเลยด้วยซ้ำ หมอถามว่า อ่ะ เราค่อย ๆ คิดกัน คุณอยากเข้าห้องไหนให้ได้ก่อน ฉันบอกว่า ก็ต้องอยากเข้าห้องตัวเองสิ อยากเข้าไปพักก่อน พอสบายใจแล้วค่อยไปลุยอีกห้อง

หมอถามฉันว่า งั้นถามเข้าไปในใจหน่อยว่า ต้องทำยังไงถึงเข้าไปในห้องของตัวเองได้ ตัวตนแบบไหนที่ จะยอมรับ ฉันบอกว่า ต้องเก่งกว่านี้ หมอบอกขอแบบรูปธรรมหน่อย เก่งกว่านี้คือยังไง ฉันก็อธิบายไปว่าควรจะอย่างนั้นอย่างนี้ หมอก็เขียน ๆ แถมแซวมาหน่อย ๆ ว่า เยี่ยม ๆ สมกับที่อยู่ฝ่ายประเมินคุณภาพ หมอทำเส้นวง ๆ ที่เขียนทั้งหมดแล้วถามฉันว่า ถ้าถามได้ตามนี้ทั้งหมดจะเกิดอะไรขึ้น ฉันบอกว่า ก็พ่อแม่เจ้านายและคนรอบข้างทั้งหลายจะได้เลิกบ่นสักที

หมอบอกว่า ถ้าอย่างนั้นที่เขียนทั้งหมดนี่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ที่ไม่ใช่วิธีเข้า “ห้องตัวเอง” แต่เป็นวิธีเข้า “ห้องคนอื่น” ต่างหากเพราะมันทำเพื่อถูกใจคนอื่น วิธีเข้าห้องตัวเองก็ขึ้นกับเราคนเดียวเลยเองไม่ใช่เหรอ ก็ไม่เกี่ยวกับการจะทำให้ถูกใจคนอื่นสิ ฉันถามกลับเขาว่า แล้ววิธีเข้า “ห้องตัวเอง” ของหมอ หมอเข้ายังไง หมอเขาตอบว่า ไม่มียังไงเลย เข้าก็เข้า เข้าได้เสมอ เพราะมันห้องเรา เราไม่ให้ตัวเองเข้าแล้วจะไปให้ตัวอะไรเข้า ผมโอเคกับตัวเอง บางทีก็ไม่ชอบนะ บางทีก็ไม่ได้สำเร็จอย่างที่ต้องการ แต่โดยรวมก็โอเค

ฉันจึงถามหมอกลับไปว่า “คุณหมอกำลังหมายถึง ให้หนูโอเคกับตัวเองให้ได้ก่อน” หมอพยักหน้า แล้วบอกว่า ตัวฉันเองก็เพิ่งพูดไม่ใช่เหรอว่า อยากเข้าไปเติมพลังใน “ห้องตัวเอง” ก่อน คงดีกว่าแค่เดินอยู่ตรงระเบียง หมอบอกว่าฉันโดนคนอื่นตัดสินมาเยอะแล้ว ไม่ควรต้องตัดสินอะไรตัวเองเพิ่มแล้ว เวลาเข้าห้องตัวเองก็โยนเรื่องของคนอื่นทิ้ง ๆ ไปบ้าง ฉันบอกว่าเรื่องงานยังพอตัดได้ แต่เรื่องที่บ้านฉันรู้สึกผิดถ้าจะตัด หมอบอกก็ไม่ได้ให้ตัดพ่อแม่ทิ้ง ไม่ได้ให้เลิกเป็นลูก แค่ไม่ต้องแบกไว้ตลอดเวลา จะพอได้ไหม

….

หลังจากกินยาฉันก็ดีขึ้น รู้สึกใช้เวลากับเรื่องเครียดเดิม ๆ น้อยลง เหมือนมันหันไปคิดเรื่องอื่น ๆ ได้มากขึ้น เจ้านายก็เหมือนเดิม ที่บ้านก็เหมือนเดิม ฉันไม่รู้มันเป็นเพราะยาหรือเพราะวิธีคิด ก็คงรวม ๆ กันมั้ง หมอบอกว่าถ้าฉันเข้า “ห้องตัวเอง” ได้บ่อย ๆ ดีแล้ว ฉันจะไปอยากเข้า “ห้องคนอื่น” น้อยลงเอง ครั้งต่อ ๆ มา ฉันก็ได้เห็นว่า ปัญหาต่าง ๆ มันอยู่ที่ฉันเองจริง ๆ แต่ไม่ได้แปลว่าฉันเป็นคนผิดเองเหมือนที่เคยรู้สึก ตรงกันข้าม คราวนี้กลับรู้สึกดีที่มันอยู่ที่ฉันเอง เพราะมันแปลว่าฉันก็แก้ที่ฉันเอง ฉันคิดได้แล้วว่า พ่อแม่ไม่ต้องทำตัวให้ถูกใจฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้ต้องชอบสิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำก็ได้ ไม่ชอบก็ไม่ได้บาป รำคาญเขาก็ไม่ได้แปลว่าไม่กตัญญู ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่สิ่งเหล่านั้นมันน่ารำคาญแค่ไหน แต่อยู่ที่ฉันจะเอามาถล่มตัวเองแค่ไหนมากกว่า

(เรียบเรียงนั่งเทียนเขียนจากคนไข้รายหนึ่ง คุยกันสามสี่ครั้งก็ดีขึ้นมาก ที่ว่าดีขึ้นไม่ได้แปลว่ามีความสุขขึ้น แต่แปลว่ายอมรับทุกข์มากขึ้น)

…..จบ…...

 

ภาพประกอบโดย วาดสุข

Resource: HealthToday Magazine, No.199 November 2017