ศักดิ์ศรี

นพ.ภุชงค์ เหล่ารุจิสวัสดิ์ จิตแพทย์

0
1908

ผมเจอคุณศักดิ์ครั้งแรกก็ในวันที่คุณศักดิ์ไม่อยากมีชีวิตอยู่เสียแล้ว… แต่กระนั้นคุณศักดิ์ก็ยังไม่ได้จากโลกนี้ไป เพราะมีลูกชายวัยรุ่นเป็นคนไปเจอเขานอนสลบจากการกินยานอนหลับเกินขนาดแล้วรีบพาพ่อมาโรงพยาบาล ซึ่งก็ได้ล้างท้องตรวจสารพิษอะไรกันตามสูตร

“พ่อผมเขาเป็นที่ยึดถือเรื่องศักดิ์ศรีมาก” ลูกชายเล่าให้ฟังขณะที่พ่อยังสลบอยู่จากยานอนหลับที่แพทย์ให้เพื่อกินวันละเม็ด แต่คุณศักดิ์กินยาของทั้งหนึ่งเดือนไปรวดเดียว “เขาชอบไปสังสรรค์บ่อยๆ อยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ ทำตัวเฮฮาคึกคัก แต่กลับมาแล้วมีน้อยใจ บ่นกับผมว่าเพื่อนๆ วัยนี้จบสูง มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต เขาสู้ไม่ได้”

“แล้วคุณสงสัยว่าพ่อจะอยากตายเพราะเรื่องนี้เหรอครับ?”

“ผมไม่แน่ใจครับ เขาอาจจะเครียดเรื่องอื่นด้วย พ่อก็มีกิจการโรงพิมพ์ที่ทำกับอา ช่วงหลังนี่อาจจะเครียดก็เป็นไปได้ เพราะยุคนี้งานพิมพ์น้อยลงมาก ช่วงนี้ผมเรียนหนัก ไม่ค่อยได้คุยกับพ่อ เลยไม่รู้เขาคิดอะไร วันก่อนที่ไปเจอเขานอนสลบนี่ก็โชคดีสุดๆ ไม่งั้นป่านนี้ไม่รู้พ่อจะเป็นยังไงแล้ว” ลูกชายพูดจบก็หน้าเสียเหมือนกลัวพ่อจะตาย

“ครับ ก็เป็นโชคดีที่คุณพ่อมีลูกชายที่ยังรักเขานะครับ แล้วที่บ้านอยู่กันกี่คนครับ”

“ก็มีผมกับพ่อนี่แหละครับ แม่ผมเสียไปเมื่อสองปีก่อน แต่พวกเขาก็แยกกันอยู่ตั้งแต่ผมเด็กๆ แล้วครับ คือพ่อเนี่ยจริงๆ ก็เป็นคนดีครับ เสียอย่างเดียวขี้โมโหมาก เวลาเมากลับมาก็ทะเลาะกับแม่บ่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งครอบครัวทางแม่ไม่ยอมให้แม่อยู่ต่อ ผมกับแม่ก็ไปอยู่บ้านตา พอแม่เสีย ผมก็กลับมาอยู่กับพ่อครับ”

“แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับคุณพ่อเป็นยังไงบ้าง”

“อืม…พ่อเขาดีกับผมมากครับ วางตัวกับผมเหมือนผู้ใหญ่ด้วยกันมากกว่าเป็นพ่อ มีอะไรก็คุยกันดีๆ เขาจะออกไปตอนกลางคืนบ่อยๆ เหมือนมีก๊วนอะไรที่นัดเจอกันประจำน่ะครับ ถามว่าห่างเหินไหมก็ไม่ใช่ ผมมองว่าเราเคารพความเป็นส่วนบุคคลของกันและกัน เขาบอกผมสั้นๆ ว่าตั้งใจเรียนให้จบ เรื่องเงินป๊าหาเอง เรื่องส่วนตัวก็มีคุยกันบ้างแต่ไม่บ่อย เขาคงไม่อยากให้ผมต้องมาเครียดเรื่องของเขา” ลูกชายเขาตอบมาด้วยมาดสุภาพ พูดเรียบๆ คล้ายนักวิชาการตัวน้อย ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย ก่อนจะขอตัวกลับเพื่อไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณอาที่โรงพิมพ์

คุณศักดิ์หลับไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ แสดงว่าที่ลูกชายไปเจอนั้นคงนานอยู่ ยาในท้องจึงซึมเข้าสมองไปมากแล้ว แต่จากภาวะทางร่างกายเขาก็ปลอดภัยดี น้องสาวเขามาเยี่ยม และผมมีโอกาสได้คุยกับเธอ จึงพอเข้าใจที่มาของคุณศักดิ์มากขึ้น

เขาโตมาในบ้านคนจีนที่ขายของในตลาดแถวฉะเชิงเทรา ที่บ้านมีพี่น้องหลายคน คุณศักดิ์กับน้องสาวเป็นลูกของแม่เล็ก และเป็นลูกคนท้ายๆ ของตระกูล บรรยากาศวัยเด็กก็ไม่ค่อยจะดีนัก ขาดแคลน วุ่นวาย เต็มไปด้วยความรุนแรงทางวาจา และบางครั้งก็ทางร่างกาย คุณศักดิ์จะโดนเยอะเป็นพิเศษเพราะดูต่อต้านกับพ่อ ส่วนน้องสาวเป็นเด็กเรียบร้อยและเรียนเก่งมาก พ่อเลยไม่ค่อยเอาเรื่อง

“ตอนเด็ก ๆ เขาก็ออกจะเกเรหน่อย เป็นคนแรงๆ ไม่ค่อยยอมคน แต่เขาไม่ได้รังแกใครก่อน จะประมาณชอบปกป้องพวกพ้อง โตมาก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียน หนีไปสูบบุหรี่ คร็โทรหาพ่อ ก็โดนพ่อฟาดอีก แล้วไปเรียนทางอาชีวะก็แรงๆ หน่อย ใครพูดจาดูหมิ่นนี่ไม่ได้เลย ขึ้นตลอด แต่เขาไม่ได้เป็นคนไม่ดีนะคะ จริงๆ ดีมากด้วย แต่ถ้าใครร้ายมาก็ร้ายกลับ เอาคืนอย่างแรงมากกว่าค่ะ ส่วนพวกเรื่องยาเสพติด ตอนนี้ก็คงมีแต่เหล้ากับบุหรี่แค่นั้นค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นทางญาติพอเข้าใจไหมครับว่าเขากินยาเกินขนาดเพราะอะไร ช่วงนี้มีเรื่องเครียดอะไร”

“ที่สังเกตพี่เขาจะไม่ได้เครียดแบบเก็บๆ คือเป็นคนแบบไม่พอใจอะไรก็ลุยเลย เถียงเลย ด่าเลย ที่ทำงานกันอยู่นี่ก็ทะเลาะกันประจำ ลูกน้องยังงงเลยว่าคุยกันเหมือนด่ากัน แต่ก็รักกัน อยู่กันได้ จะมีอยู่เรื่องหนึ่งที่แกจะ sensitive คือเรื่องการเรียนหนังสือ เพราะว่าแกจบ (มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง) เลยค่อนข้างจะมองตัวเองว่าต่ำต้อย แต่จริงๆ เขาฉลาดนะคะ หัวไว ทันคน เพียงแต่เขาไม่ทนเรียนตอนวัยรุ่นเท่านั้น ขนาดตอนเรียน (มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง) อ่านแป๊บเดียวไปสอบยังจบกฎหมายมาได้ แกบอกว่ารู้กฎหมายไว้จะได้ไม่โดนเอาเปรียบ อันนี้คือมาเรียนเอาตอนแก่แล้ว จริงๆ จบช่างกล เขาเป็นคนเก่ง ทำเครื่องมือ ซ่อมอุปกรณ์ต่างๆ เก่งมาก ตอนหลังมาน้อยใจที่เรียนไม่สูงเลยมาเรียน (มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง) เอาทีหลัง”

“แล้ว…ช่วงนี้มีเรื่องกระทบกระเทือนใจอะไรไหมครับ ช่วงใกล้ๆ วันสองวันนี้”

“ก็…อาจจะมีบ้างนะคะ ดิฉันมาทบทวนดู เมื่อวันก่อนที่เขาจะกินยาตายนี่… แกจะมาขอเงินเดือนเพิ่ม จริงๆ ก็อยากให้นะคะ แต่โรงพิมพ์งานน้อยลงมาก ดิฉันยังลดเงินเดือนตัวเองลงเพื่อให้มันอยู่ได้ พี่เขาก็ดูเขินๆ ที่จะขอเงินเพิ่ม เขามาอ้อมแอ้มบอกว่าเดี๋ยวนี้ข้าวของแพงขึ้น อยากได้เงินเพิ่ม เพราะจะได้เพิ่มให้หลานชายที่เรียนหนังสืออยู่ด้วย ดิฉันก็ผิดเอง ตอนนั้นอารมณ์ขึ้น ไม่คิดว่าเขาจะคิดสั้นขนาดนี้ เลยบอกเขาว่าตอนนี้เงินไม่มีจะใช้อยู่แล้ว โรงพิมพ์ไม่มีงานเลยไม่เห็นเหรอ แกก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับมา แต่หันหน้าเดินหนีเลย เราก็ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนตอนเช้าหลานโทรมาถึงรู้ว่าเขาน้อยใจกินยาตายไปแล้ว” เธอเล่าตาแดงๆ มีสีหน้าสะเทือนใจ

“ใจเย็นก่อนครับ อย่าเพิ่งไปสรุปว่าเพราะเรื่องนั้นเรื่องเดียวครับ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ เดี๋ยวรอเจ้าตัวเขาตื่นมาดีๆ แล้วเราค่อยคิดกัน แล้วเขาเคยฆ่าตัวตายหรือดูเศร้าๆ ซึมๆ มาก่อนหน้านี้ไหมครับ”

“ที่เศร้าสนิทเลยคือตอนเมียขอแยกทาง ตอนนั้นจ๋อยเลย ไม่พูดไม่จา ไม่เป็นอันทำมาหากิน เลยชวนเขามาทำโรงพิมพ์ด้วยกัน ก็ประมาณสักสิบปีก่อน แล้วก็มาตอนเมียตาย เขาก็รักของเขานะ ถึงจะดูร้ายกับเมีย แต่ดีหน่อยที่ลูกชายยอมกลับมาอยู่ด้วย ลูกชายเขาก็ดี เอาแต่เรียน เลยไม่มีปัญหาอะไรให้พ่อหนักใจ ส่วนเรื่องฆ่าตัวตายหรือบ่นอยากตายไม่มีนะคะ แถมยังเคยด่าพวกฆ่าตัวตายในข่าวเลยว่าฆ่าตัวเองทำไมวะ ทำไมไม่ไปฆ่าไอ้คนที่ทำให้เรากลุ้ม”

ตอนแรกที่คุณศักดิ์ฟื้นมาก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างใดๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ พอจิตแพทย์ที่อยู่เวรถามว่ายังมีความคิดฆ่าตัวตายอยู่ไหม คุณศักดิ์พยักหน้า เมื่อรวมสถานการณ์และท่าทีทั้งหมด เราประเมินว่าคนไข้ยังมีความเสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเอง เลยต้องย้ายจากห้องพักดูอาการมาอยู่หอผู้ป่วยจิตเวช วันแรกๆ คุณศักดิ์แยกตัว ไม่สมัครใจเขาร่วมกิจกรรม แต่พอผ่านไปสองสามวัน ดูเหมือนได้คิดแล้ว ก็ลุกขึ้นมาร่วมสังคมกับผู้ป่วยอื่นๆ มากขึ้น ช่วยดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์แก่ๆ ที่อยู่ร่วมห้องเดียวกัน

ข้อมูลที่เราได้จากคุณศักดิ์ก็คือวันนั้นเขาเสียใจที่น้องสาวปฏิเสธจะเพิ่มเงินเดือนให้ แต่เขาก็รู้ว่าที่น้องสาวพูดนั้นก็เป็นความจริง เขามักจะรู้สึกว่าน้องสาวถูกต้องกว่า คิดอะไรได้ดีกว่าเขาเสมอ เพราะน้องสาวเรียนสูง จบปริญญาโท ต่อมาค่ำๆ เขาไปนั่งสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนโรงเรียนเก่า วันนั้นเพื่อนพาคนไทยคนหนึ่งที่เคยไปอยู่อเมริกามาร่วมสังสรรค์ด้วย วงสนทนาเลยมีศัพท์ภาษาอังกฤษเต็มไปหมด และแต่ละคนก็พูดถึงประสบการณ์ที่เคยไปเที่ยวหรือไปเรียนต่อที่อเมริกากันมาทั้งนั้นจนคุณศักดิ์รู้สึกไม่มีส่วนรวม เพราะไม่เคยเรียนเมืองนอก แค่ไปเที่ยวเมืองนอกก็ไม่เคยไปไกลขนาดอเมริกา เขาก็เลยนั่งดื่มเหล้าเพื่อดับความขุ่นเคืองที่ไม่มีส่วนร่วมตรงนั้น พอกลับบ้านมาก็เมามาก ในห้วงความเมาเขารู้สึกว่าตัวเองมันแย่ ไม่มีอะไรดี เขาโกรธเกลียดตัวเองจนทำอะไรไม่ถูก เลยรื้อหายานอนหลับที่เคยได้จากหมอตอนที่นอนไม่หลับมากินทั้งหมดคราวเดียว กะให้ตายๆ ไปเสีย พอรอดมาได้ แม้ว่าสร่างเมาเหล้าและเมายาแล้วเขาก็ไม่ได้ดีใจ กลับมองว่าตัวเองช่างล้มเหลว ไม่ได้เรื่องสักอย่าง ขนาดจะตายยังทำไม่สำเร็จ นั่งเซ็งๆ เบื่อๆ อยู่สองสามวันก็คิดได้ว่าอยู่แบบนี้ไปไม่ดีแน่

จุดเปลี่ยนของเขาคือเมื่อลูกชายมาเยี่ยมที่หอพักผู้ป่วย แล้วบอกว่าเป็นห่วงพ่อ เดี๋ยวเรียนจบแล้วจะเลี้ยงดูพ่อเอง วันนั้นพอลูกชายกลับบ้านไปเจ้าหน้าที่ได้ยินเสียงเขาร้องไห้ในห้องน้ำ พอไปถามเขาก็ยิ้มบอกว่าไม่มีอะไร เขามาเล่าทีหลังว่าประโยคนั้นทำให้เขาไม่คิดจะฆ่าตัวตายอีก

“หมออยากเข้าใจครับ ว่าประโยคนั้นมันมีความหมายลึกๆ ในใจยังไงกับคุณศักดิ์”

“ตั้งแต่เกิดมาผมเองยังไม่เคยเห็นความดีอะไรในตัวเองเลย พอได้ยินลูกชายพูดว่าจะหาเลี้ยงเราเอง มัน…มันแน่นตรงนี้เลย (ชี้ตรงที่หน้าอก) มันดีใจสุดๆ ดีใจยิ่งกว่าได้เงินอีก ต่อให้หลังจากนี้เขาจะไม่เลี้ยงผมจริงๆ ผมก็ไม่ว่าเลยนะ”

“เพราะว่าลูกรักคุณ เห็นคุณค่าคุณ?”

คุณศักดิ์พยักหน้า “วันนั้นมันรู้สึก…แหมกูไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรในโลกใบนี้แล้ว เรียนก็ไม่จบ เมียก็ทิ้ง ต้องมาขอตังค์น้องสาว ไปหาเพื่อน เพื่อนแ-่งก็ไม่แยแส”

“หมอคิดว่าส่วนหนึ่งวันนั้นคุณดื่มสุราด้วย ความยับยั้งช่างใจเลยน้อยลง เพราะที่จริงแล้วเราพบได้บ่อยนะครับว่าคนที่ฆ่าตัวตายทำตอนกำลังเมา”

คุณศักดิ์หยุดคิดสักพักเหมือนไม่เคยรู้มาก่อน “…ผมรู้สึกว่าถ้าไม่กินเหล้ามันจะหยุดความหงุดหงิดในใจไม่ได้”

“ใช่ครับ หมอไม่เถียงเลย เหล้ามันช่วยให้ผ่อนคลายขึ้นจริง แต่ถ้าเราแก้ปัญหาด้วยเหล้า มันจะกลายเป็นปัญหาเสียเอง หมอได้ยินมาว่าคุณศักดิ์เป็นช่าง หมอเปรียบเทียบว่าถ้าคุณซ่อมอะไรแล้วยิ่งซ่อมยิ่งเจ๊งเพิ่ม เราก็คงต้องเปลี่ยนวิธีใช่ไหมครับ”

“ผมไม่อยากหงุดหงิดขี้โมโห คุณหมอรักษาผมได้ไหม ผมไม่อยากโกรธอีกต่อไปแล้ว บ้านผมมันขี้ยั้วะกันทุกคน เป็นตั้งแต่รุ่นพ่อมาเลย พ่อผมนี่ถ้าผมพูดอะไรไม่เข้าหูนะ ฟาดทันที” เขาเล่าด้วยหน้าตาขึงขัง และทำมือตีอากาศ

“คุณศักดิ์อยากใจเย็นขึ้นเหรอครับ”

“ไม่ใช่ใจเย็น เอาแบบไม่โกรธเลย มียาอะไรไหมที่กินแล้วอารมณ์ดีๆ นิ่งๆ เลย” ผมสังเกตว่าวิธีพูดของเขาแสดงออกถึงวิธีคิดที่เด็ดขาดของเขา ประเภทจะเอาอะไรก็ขอให้มันสุดทาง

“อย่างนั้นคงไม่ดีนะครับ นั่งเอ๋อทั้งวัน หมอว่าการมีอารมณ์ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เวลาเราคิดว่าอะไรแย่ เราก็ย่อมไม่มีความสุขเป็นธรรมดา ถ้าเราเปลี่ยนความคิด อารมณ์มันก็เปลี่ยน”

“หมายถึงคุณหมอจะให้ผมเปลี่ยนความคิด”

“แหม…คุณศักดิ์หัวไวมากจริงๆ ไหนบอกเรียนไม่เก่ง แต่ที่จริงทำความเข้าใจได้เร็วมากนะครับ”

“ก็เรียนไม่จบอะไรสักอย่าง คนรอบตัวๆ พรรคพวกเขาปริญญาโทปริญญาเอก มหาวิทยาลัยดังๆ ทั้งนั้น ส่วนผมจบ

“จบ (มหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่ง) ไม่ใช่เหรอครับ”

“อันนั้นอย่าไปนับเลย ไม่ได้มีความหมายอะไร”

“เนี่ยล่ะครับวิธีคิดคิดแรกที่ปรับแล้วจะดีขึ้น คุณศักดิ์มักจะมองว่าตัวเองไม่ดี”

“ก็มันไม่ดีก็ต้องว่าไปตามนั้นสิครับ เกิดมาเรียนได้แค่นี้ ทำมาหากินได้แค่นี้ ต้องขอเงินชาวบ้านเขากินแบบนี้ มันจะดีได้ยังไง”

“ใจเย็นๆ ก่อนครับ หมอว่าคุณศักดิ์มองตัวเองในแง่ลบเกินไปหรือเปล่า คุณศักดิ์เชื่อแบบนี้ก็เลยตัดสินคุณค่าตัวเองแบบนี้”

เขาหายใจแรงขึ้นคล้ายไม่ค่อยพอใจ ผมเลยชวนคุยกลับไปจุดที่เขาเคยอารมณ์ดี “คุณศักดิ์ลองสังเกตอารมณ์ตอนที่ลูกชายบอกว่าจะเลี้ยงคุณกับอารมณ์ตอนที่คุณมองตัวเองไม่มีอะไรดีสักอย่างดูนะครับ เห็นไหมครับว่ามันคนละอารมณ์กัน” เขาดูสงบลง หายใจยาวขึ้น พยักหน้า “อารมณ์ตรงนี้มันเปลี่ยนวิธีคิด เพราะลูกทำแบบนี้เลยทำให้คุณคิดว่าเราก็มีค่า อารมณ์มันก็สงบขึ้น แต่พอคุณเอาอดีตมาคิด เอาศักดิ์ศรีอะไรต่างๆ มาคิด อารมณ์มันก็หงุดหงิด สังเกตไหมครับ” คนไข้พยักหน้าตาม “คุณชอบอารมณ์ไหนมากกว่า”

“ก็อย่างแรก”

“ถ้าคุณรู้สึกดีเหมือนแบบแรกได้เอง ไม่เกี่ยวกับลูกชายพูดจะดีไหมครับ” คนไข้พยักหน้าอีกครั้ง

“โอเคครับ ที่หมอจะบอกก่อนก็คือ การจัดการความโกรธไม่ใช่แปลว่าทำให้ไม่มีอารมณ์โกรธ แต่หมายถึงมีอารมณ์โกรธแล้วเราเข้าใจว่ามันเกิดจากอะไร และจะทำอย่างไรกับมัน ไม่ใช่ไปห้ามมันเกิด อย่างของคุณเกิดจากการตัดสินตัวเองว่าไม่ดี” เขาเริ่มช้าลง ครุ่นคิด ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ตอนเด็กๆ คุณศักดิ์ถูกด่าเยอะไหมครับ”

เขาไม่สบตาผม ตอบมาเสียงห้วนๆ ว่า “เรียกว่าไม่มีประโยคไหนที่ไม่ด่าเลยดีกว่า”

“ตอนเด็กชอบไหมครับเวลาถูกด่า”

“เด็กที่ไหนมันจะชอบ”

“ตอนนี้คุณศักดิ์เลี้ยงลูกชาย คุณศักดิ์ด่าเขาเหมือนที่คุณเคยโดนตอนเด็กๆ ไหม”

“ไม่ ลูกผมมันดี ตั้งใจเรียน ไม่เหมือนผม มันดีกว่าผมเยอะ”

“ถ้าคุณศักดิ์ด่าลูกทุกวันคิดว่าเขาจะเป็นยังไงครับ”

“เขาก็คงไม่อยู่กับผม”

“เพราะเขาก็จะไม่มีความสุขใช่ไหมครับ” คุณศักดิ์พยักหน้า

“ดังนั้นหมอคิดว่าที่คุณศักดิ์มองว่าตัวเองแย่เนี่ยมันก็ไม่ได้ต่างจากที่เคยถูกด่าว่าเมื่อสมัยเด็กๆ เลยนะครับ ถ้าเราไม่ชอบ ผมอยากชวนคุณศักดิ์เลือกใหม่ว่าเราจะไม่ทำอย่างนั้นกับตัวเองได้ไหม”

“ก็ถ้าไม่ว่าอะไรเลยจะต่างอะไรกับคนหลงตัวเอง”

“ต่างสิครับ การต่อว่ามันทำให้เราไม่มีความสุข มันทำลายความสุข หมอว่าไม่ต้องชื่นชมอะไรตัวเองนักก็ได้ แค่อย่าต่อว่ารุนแรงจะเอาจนตายแบบที่ผ่านมาก็พอ”

“ใช่ ตอนเด็กๆ ผมไม่ได้อยากให้ใครชมเลย แค่อย่าด่าก็พอ”

“ครับ เอาแค่นั้นกับตัวเองดีไหมครับ ยากไปไหม”

คุณศักดิ์ไม่ได้ดีขึ้นทันตาเห็นเมื่อคิดได้ปลงตกเหมือนในนิยาย ผมได้ให้ยาช่วยลดอารมณ์เศร้าซึ่งจะช่วยเบรคความก้าวร้าวลงด้วยในขนาดที่ไม่สูงนัก ผมบอกเขาง่ายๆ ว่าเอาไปแทนเหล้ากับบุหรี่ ซึ่งก็ได้ผล เขาสูบบุหรี่น้อยลง กินเหล้าน้อยลง ส่วนหนึ่งเขาบอกผมสั้นๆ ด้วยว่า “ลูกชายเขาขอ”

ครั้งต่อๆ มาผมชวนคุณศักดิ์คุยเรื่องเหตุกระตุ้นที่มักจะทำเขาของขึ้น ก็คือเรื่องศักดิ์ศรีของเขา การแคร์เรื่องนี้ตั้งแต่เด็กทำให้เขาโกรธเมื่อคนอื่นๆ มีพฤติกรรมที่ทำให้เขาตีความได้ว่ากำลังลบหลู่ศักดิ์ศรีเขา ในวัย 50 ปีของเขาตอนนี้เรื่องศักดิ์ศรีของเด็กอาชีวะก็ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาเขา คุณศักดิ์มองว่าโชคดีที่ในวัยนั้นเขาไม่ไปฆ่าใคร หรือไม่ถูกใครฆ่าไปเสียก่อน  กับเรื่องเรียนสูงก็เช่นกัน ผมกับคุณศักดิ์คุยกันอยู่นานกับความหมายของการศึกษา วุฒิการศึกษาสะท้อนความเก่งได้จริงหรือ เราจะภูมิใจกับตัวเองต้องใช้เรื่องเรียนอย่างเดียวหรือ ผมเปรียบเทียบว่าถ้าลูกชายของเขาตอนเด็กๆ โดนเขาด่าเขาตีทุกวัน ลูกจะมีอารมณ์เรียนหนังสือไหม เขาคิดว่าไม่ค่อย ดังนั้นการที่เขาไม่ตั้งใจเรียนในสมัยก่อนมันก็มีเหตุที่น่าเห็นใจ ถ้าสิ่งแวดล้อมเขาพร้อมกว่านี้มันจะดีกว่านี้ไหม น้องสาวเขาหรือกระทั่งคนบ้านอื่นไม่เคยโดนอย่างเขา เขาจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบจะยุติธรรมหรือไม่ จบท้ายเขาเล่าถึงลูกชายว่าตอนนี้สนิทกันดี อยู่กันเหมือนเพื่อน ผมจึงบอกว่าในมุมมองของผมการที่ลูกชายเขาเรียนดี เป็นคนดี และดีกับเขา ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะเขาดีกับลูกด้วยเช่นกัน คุณศักดิ์บอกว่าเมียก็ไม่เหลือแล้ว ถ้าทำตัวแย่ๆ อีกเดี๋ยวลูกชายก็ไม่เหลือ ผมถามเขาว่าที่ปรับปรุงตัวเองได้นี่น่าชื่นชมหรือเปล่า เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ดีนะ”

คนไข้รายนี้ดีขึ้นมาก เขายังโชคดีที่เปลี่ยนมุมมองและความคิดตัวเองทันไม่โดน ‘ศักดิ์ศรีของตัวเอง’ ฆ่าเขาตายไปเสียก่อน

…..จบ…...

 

ภาพประกอบโดย วาดสุข

Resource: HealthToday Magazine, No.197 September 2017