เลี้ยงลูกท่ามกลางความต่างของวัฒนธรรม

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

0
2407
เลี้ยงลูก

เด็กส่วนหนึ่งต้องเกิดและเติบโตในที่ที่เขาแตกต่างจากเด็กคนอื่น แม้ในปัจจุบันความหลากหลายของเชื้อชาติเป็นสิ่งที่พบเจอได้มากขึ้น แต่ความกดดันจากความแตกต่างยังอาจกระทบต่อความรู้สึกของตัวเด็กเอง และต้องการความ
ช่วยเหลือจากพ่อแม่ที่จะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันทางอารมณ์ และเติบโตต่อไปอย่างมั่นคง ในช่วงที่ผ่านมาข่าวการอภิเษกสมรสของเจ้าชายแฮรี่กับพระคู่หมั้นชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหญิงสาวผิวสีคนแรกที่แต่งงานเข้ามาอยู่ในราชวงศ์อังกฤษ มีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะกับเมแกน พระชายา เมแกนเคยพูดถึงชีวิตวัยเด็กที่แม้จะเป็นลูกครึ่งระหว่างแม่ผิวสีกับพ่อผิวขาว  แต่ก็ยังคงถูกล้อเลียน ใช้คำเรียกที่ทำให้รู้สึกอับอาย เมื่อเล่าให้แม่ฟัง แม่ช่วยให้เธอไม่โกรธเด็กเหล่านั้น ไม่รู้สึกอาย เติบโตด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง และประสบความสำเร็จ

แม้ไม่มีประสบการณ์ที่เลวร้ายด้วยตัวเอง แต่เด็กก็มีโอกาสได้เห็นภาพข่าวความรุนแรงเนื่องจากความต่างของเชื้อชาติผ่านภาพข่าว และต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจความขัดแย้งที่รุนแรงจนนำไปสู่การกระทำที่มุ่งร้ายต่อชีวิตของผู้คนที่อาจไม่ใช่คู่ขัดแย้งของปัญหา เด็กมีธรรมชาติที่จะมองการอยู่ร่วมกันโดยไม่ได้แบ่งแยกจากลักษณะภายนอก ถ้าเราพาเด็กเข้ามาในห้องหรือสนาม เด็กจะเข้าหากัน ทำความรู้จักแบบเด็กเล่นด้วยกัน พยายามสื่อสารแม้จะไม่เข้าใจภาษาของกัน เด็กไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ทำให้เรามีความเกลียดชังกัน แต่เด็กสามารถรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ถูกต้อง เหมือนเวลาเห็นเด็กคนหนึ่งแกล้งเด็กอีกคน เด็กอาจไม่รู้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น แต่เขารู้ได้ทันทีว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง

พ่อแม่เป็นคนสำคัญที่จะช่วยให้เด็กเติบโตอย่างเข้าใจในตนเอง หากเขาเป็นเด็กที่แตกต่างจากเด็กส่วนใหญ่ เด็กมักคาดหวังว่าทุกคนจะดีต่อกัน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างความไว้วางใจต่อการใช้ชีวิต ในวัยเด็กเราอยากรู้สึกปลอดภัย ผ่อนคลาย และสนุกกับการอยู่ร่วมกับคนอื่น หากเขามีประสบการณ์ถูกคุกคาม ทำให้เด็กรู้สึกกลัว ประหวั่น กังวลใจ ถ้าเหตุการณ์เกิดซ้ำ ๆ อาจนำไปสู่ความรู้สึกหมดหวัง ต่อสู้ไม่ได้ เด็กจะเริ่มสูญเสียความรู้สึกดี ๆ ต่อตนเอง รู้สึกว่าตนเองไม่ดี ไม่แข็งแกร่งพอ แต่สำหรับเด็กบางคนอาจพัฒนาต่อไปกลายเป็นความรู้สึกกดดัน โกรธแค้น และอาจกลายเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวตอบโต้

พ่อแม่จะช่วยลูกได้อย่างไร

เมื่อเขาเผชิญเหตุการณ์ที่คุกคามเขาเพราะเขาแตกต่าง สิ่งแรกที่พ่อแม่ต้องทำคือ การรับฟังลูก อย่าปล่อยให้ลูกต้องอยู่ตามลำพังกับเรื่องที่เลวร้าย หรือบอกเพียงว่าไม่เป็นไร อย่าไปสนใจคนอื่น เด็กต้องได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจะเล่าเพราะเขารู้ว่ามีคนที่จะฟังเขา ความจริงไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ถูกกระทำหรือเป็นฝ่ายที่ไปทำเพื่อนเพียงเพราะเขาเป็นคนละเชื้อชาติวัฒนธรรม เด็กทั้งสองคนต้องได้พูดถึงสิ่งที่ตนเองทำ สำหรับเด็กที่ถูกกระทำ การมีคนฟัง บอกให้รู้ว่ามีคนที่ใส่ใจ พร้อมจะสนับสนุน การฟังเป็นการทำให้รู้ว่าเด็กทุกคนมีตัวตนของเขาที่พ่อแม่จะเอาใจใส่ ให้เขาพูดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความกลัว ความประหวั่น ความกังวลใจ ความกังวลใจว่าตัวเองแตกต่าง ซึ่งถูกทำให้เชื่อว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ไม่ดีเหมือนคนอื่น เป็นเวลาสำคัญที่จะได้รับคำอธิบายจากคนที่เด็กรักและไว้วางใจมากที่สุดว่าเขาเป็น
ตัวเขา การแตกต่างไม่ใช่ปัญหา หลายสิ่งหลายอย่างไม่เหมือนกัน อย่างต้นไม้ไม่ได้มีใบมีดอกหรือผลที่เหมือนกัน แต่ไม่ได้แปลว่าต้นไหนดีกว่า ต้นไม้แต่ละต้นที่ต่างกันต่างมีสิ่งที่เป็นประโยชน์ ความรู้สึกต่อตัวเองของเด็กสำคัญ การเชื่อมั่นในเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมของตนเองเป็นสิ่งที่เด็กจะรู้สึกถึงที่มาของตนเอง มีความรักและศรัทธาในครอบครัว ในสังคมของตนเอง และเชื่อมั่นที่จะใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น

พ่อแม่ยังเป็นต้นแบบที่ดีเรื่องการไม่รังเกียจผู้อื่นด้วยความต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา ทั้งการที่พ่อแม่เคารพในความเป็นตัวตน และการไม่ต่อต้านคนอื่น พ่อแม่ยังช่วยปกป้องเด็กจากความเกลียดชังกันได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้

  • อย่ากังวลหรือหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุยกับลูกในประเด็นนี้ แม้เด็กจะรู้สึกว่าการกระทำรุนแรงต่อกันไม่ถูกต้อง แต่เด็กไม่เข้าใจ และอาจรู้สึกกังวลใจ ถ้าพ่อแม่มีท่าทีเปิดกว้างที่จะคุยและรับฟังจะช่วยให้เด็กทำความเข้าใจได้มากขึ้น
  • หาโอกาสที่จะช่วยให้ลูกเข้าใจ เด็กอาจเป็นฝ่ายพูดหรือถาม หรืออาจใช้สื่ออื่น ๆ เช่น การใช้นิทานที่ให้เห็นการอยู่ร่วมกันแม้จะมีความแตกต่างกัน ความเป็นเพื่อน การยอมรับความแตกต่าง ทุกคนต่างสามารถใช้ชีวิตของตนเองได้
  • ลดการรับข้อมูลที่อาจมากเกินไปในบางช่วงเวลาที่อาจมีข่าวความรุนแรงในเชื้อชาติมากเกินไป การเข้าถึงภาพข่าวที่อาจไม่เหมาะกับวัย สร้างความหวาดกลัวให้กับเด็ก

การเรียนรู้ความแตกต่างเป็นเรื่องที่เด็กสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก การเรียนรู้ที่ผู้ใหญ่เป็นต้นแบบให้เห็นการอยู่ร่วมกันอย่างไม่รังเกียจความแตกต่าง ความยอมรับที่จะผ่อนปรนตนเองเมื่อต้องอยู่ร่วมกับความต่างทางวัฒนธรรม เป็นทักษะในอนาคตที่ขอบเขตของประเทศไม่ใช่เส้นแบ่งคนจากต่างเชื้อชาติที่จะเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกันอีกต่อไป สีผิว สีตา สีผม การแต่งกาย อาหาร เสื้อผ้า เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่อยู่ร่วมกันได้ ความรู้สึกที่ดีที่เด็กแต่ละคนได้รับจะช่วยให้เขาเติบโตอย่างเชื่อมั่นและเป็นคนที่ดี มีประโยชน์กับสังคมที่เขาอยู่เมื่อเขาโตขึ้น

ภาพประกอบโดย วาดสุข

Resource: HealthToday Magazine, No.207 July 2018