ความหมายของชีวิต

นพ.ภุชงค์ เหล่ารุจิสวัสดิ์ จิตแพทย์

0
18544

นิสิตแพทย์คนหนึ่งขอคุยกับผมด้วยเรื่องความหมายในชีวิต “อาจารย์ครับ ผมสงสัยมานานแล้ว นับวันคำถามนี้มันย้อนมาบีบคั้นผมขึ้นทุกวัน นั่นคือผมไม่ทราบว่าผมเกิดมาทำไม และควรจะทำอะไรต่อ”

นิสิตท่านนั้นเล่าต่อไปว่า “ที่จริงแล้วผมไม่ได้มีปัญหาอะไร พ่อแม่และครอบครัวก็ดี ไม่ได้บังคับอะไรผมเลย เร่องที่คนเขากลุ้มกันอย่างเรื่องเงินเรื่องความรัก ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนเหมือนเขา เพียงแต่ราวกับว่าข้างในมันว่างเปล่า เห็นเพื่อน ๆ มีความฝันมีอุดมการณ์จะทำนั่นทำนี่ก็อยากมีเหมือนเขา ผมพยายามคิดตามเขา เคยลองสนใจแนวเดียวกับเขาแต่ผมก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ มีคนทักว่าผมคิดมากไป ผมเองก็อยากหยุดสงสัย จะได้เฉย ๆ แต่มันยากที่จะหยุดลงได้ ผมรู้สึกเหมือนป่วยทางจิต เพราะหาความสุขแท้จริงไม่ได้ ทั้งที่มีทุกอย่าง แต่มันเหมือนมีอะไรในใจบอกตลอดว่ายังไม่ใช่ ยังไม่ใช่ บางครั้งก็โกรธตัวเอง ผมควรทำยังไงดีครับ”

ผู้ที่เดินทางมาคุยกับผมหลายต่อหลายรายก็ยังไม่ถึงกับจัดว่าเจ็บป่วยทางจิต แต่อยากพบจิตแพทย์เพื่อขอคุยเรื่องความหมายในชีวิต “ช่วงนี้มันเบื่อ ๆ หน่าย ๆ เพราะเรียนในคณะที่ไม่ได้อยากเรียนอยู่แต่แรก ปีหลัง ๆ เรื่องมันยากมาก หัวเราก็ไม่ได้มาทางนี้ พอต้องฝืนก็ยิ่งเครียด ดูเหมือนยิ่งเรียนยิ่งโง่ ตกต่ำลงเรื่อย ๆ ต่อให้จบไปได้ก็ต้องไปทำงานที่คงไม่ได้อยากทำ มองไปข้างหน้าก็มีความหดหู่รออยู่ พอไปบอกที่บ้านว่าเราคิดยังไง พวกเขาก็บ่นเรื่องที่ไม่ตั้งใจเรียน หาว่าไม่อดทน หนูก็รู้สึกแย่ที่เขาไม่เห็นใจ ซึ่งพูดไปก็เท่านั้นเพราะมันเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่เคยเปลี่ยนได้ ชีวิตหนูไม่เคยได้เลือกอะไรเอง มีแต่การบงการจากพ่อแม่และพี่ ๆ เหมือนเป็นหุ่นยนต์ทำตามโปรแกรม พอเอ่ยปากพูดก็มักจะผิดเสมอในสายตาเขา อะไรที่เราเลือกเองไม่เคยดี ซึ่งมันแย่ที่เรามีชีวิตแต่ไม่สามารถจะรู้สึกได้ว่าชีวิตมันเป็นของเรา เพราะเรื่องพวกนี้กระมัง…เดือนที่ผ่านมาก็เลยเกิดความคิดที่น่ากลัวว่าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ในเมื่อมันไม่ได้มีความหมาย แต่ไม่ได้คิดรุนแรงขนาดจะฆ่าตัวตาย เพียงแต่ไม่มีเหตุผลว่าควรอยู่บนโลกใบนี้เพื่ออะไร เพราะดูไม่ถูกใจใครเลยสักคน แม้กระทั่งตัวเอง”

แม้กระทั่งมิตรสหายวัยทำงานแล้วในโซเชียลมีเดียของผมท่านหนึ่งก็บ่นเพ้อถึงปัญหาความหมายของชีวิต “เพื่อน ๆ สงสัยกันบ้างไหม ทำไมชีวิตพวกเรามันต้องเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมต้องทำงานเครียด ๆ ห้าวัน แล้วเสาร์อาทิตย์ต้องหอบครอบครัวไปเดินห้าง พาลูกไปเรียนพิเศษ ฝ่ารถติดเข้าเมืองไปเบียดกันในที่จอดรถในห้างแล้วก็แย่งกันกินข้าวเย็น กดคิดรอเป็นชั่วโมง ชอปปิ้ง ซื้อของมาเป็นถุง ๆ แล้วก็ฝ่ารถติดที่ติดยาวมาตั้งแต่ยังไม่ออกจากห้างเพื่อกลับบ้าน นาน ๆ ทีก็ไปเมืองนอก แต่มันก็ไม่ต่างกัน ชอปปิ้ง หาอะไรกินแล้วเซลฟี่ ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้เรื่อยไป เราใช้ชีวิตไปเพื่ออะไรกันแน่”

เจอเข้าสามรายในเวลาใกล้เคียงกัน ทั้งที่เป็นนิสิตแพทย์มาปรึกษา ทั้งที่เป็นคนไข้ และทั้งที่เป็นเพื่อน ผมเองก็กลับมาเกิดความงุนงงสงสัยกับเรื่องความหมายของชีวิตต่อ หลังจากที่ได้นั่งใคร่ครวญติดตลบไปมากับเรื่องทั้งสามนี้สักพัก ผมก็เจอทั้งความเหมือนและความต่างในเรื่องเหล่านี้

ความเหมือนคือ มันล้วนแต่เป็นเรื่องที่นำเราไปถึงคำว่า “ความหมายของชีวิต” ที่ยังคงดูเป็นปริศนา เป็นความเคว้งคว้าง ว่าจะอะไร ยังไง เพราะอะไร และเพื่ออะไร ส่วนของความต่างกันคือ รายแรกที่เป็นนิสิตแพทย์นั้นมีปัญหาความหมายชีวิตที่ดูจะทางความสัมพันธ์ภายในตัวเอง คนไข้ที่เป็นนักศึกษานั้นเกิดสงสัยในความหมายของชีวิตจากปัญหาทางความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนอื่น ๆ คือครอบครัว ซึ่งดูเป็นความขัดแย้งเรื้อรัง ส่วนมิตรสหายของผม เรื่องราวที่บ่นนั้นเป็นความสงสัยของคนตัวเดี่ยว ๆ คนหนึ่งว่าจะสอดคล้องทำตัวให้กลมกลืนไปตามบริบททางสังคมดีหรือไม่

แล้วความหมายของชีวิต คืออะไร ?

นานมาแล้วเคยมีคนถามโจรปล้นธนาคารคนหนึ่งว่าทำไมจึงคิดจะปล้นธนาคาร เจ้าโจรก็ตอบตรง ๆ ว่า “ก็เพราะมันมีเงินอยู่ที่นั่นนะสิ” ฟังดูเป็นเรื่องเล่ากวน ๆ เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องเล่านี้แฝงปรัชญาวิธีคิดบางอย่าง นั่นคือ เมื่อต้องการแสวงหาอะไร ผู้แสวงหาควรจะได้มีโอกาสทบทวนสักนิดว่า…ควรจะหาสิ่งนั้นที่ไหน!!

ถ้าเราจะหาความหมายของคำคำหนึ่ง เราก็เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่าต้องไปเปิดหาในพจนานุกรมว่าคำนั้นมีความหมายอย่างไร เด็กในยุคสมัยนี้อาจจะหาผ่านอินเตอร์เน็ตทางกูเกิลอะไรก็ว่าไป แต่ดูเหมือนว่า ความหมายของ “ชีวิต” ถึงไปเปิดพจนานุกรมดูก็ไม่ได้ให้ “ความหมายชีวิต” ไม่ได้ความรู้สึกอย่างนั้น หรือเราตั้งหลักผิด เราควรหาความหมายของคำว่า “ความหมายชีวิต” มากกว่าหรือไม่ ซึ่งต่อให้เปิดพจนานุกรมด้วยคำว่า “ความหมายชีวิต” ก็แน่นอนว่าเรายังไม่ได้ “ความหมายชีวิต” ขึ้นมาเสียเท่าไร เพราะอะไรกัน หรือเพราะมันไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาโดยเรา

มีคนมากมายพูดถึงเรื่องความหมายชีวิต บางคนก็พูดเรื่องการประสบความสำเร็จ อายุน้อยร้อยล้าน บางคนก็พูดถึงเรื่องการเอาชนะปัญหาหรืออุปสรรคบางอย่าง บางคนก็พูดถึงประสบการณ์พิเศษ ทั้งทางความสัมพันธ์ ทางปรัชญา ทางความเชื่อหรือศาสนา โอ้…คำนี้ช่างมีความกว้างขวางหลากหลาย เป็นคำถามที่มีเฉลยคำตอบว่าถูกต้องได้หลากหลาย ปกติแล้วเราคงคิดว่าคำถามที่ตอบถูกได้หลายแบบน่าจะเป็นเรื่องง่าย เหมือนตอบยังไงก็คงถูก แต่เรื่องความหมายชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นนั้น น่าจะจัดว่าเป็นเรื่องยากด้วยซ้ำ เพราะในความหลากหลายของคำตอบ มีเพียงไม่กี่คำตอบที่จะเป็นคำตอบของเรา

บ่อยครั้งที่เราพูดหรือคิดถึงเรื่องความหมายชีวิต ดูมันจะเป็นเรื่องความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง มันจะมาอยู่ในใจเราหรือจะหายไปจากใจได้เรื่อย ๆ แม้ว่าจะไม่ชัดเจนนัก บางทีเราก็รู้สึกถึงความหมายชีวิตขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม บางทีเราก็เจอว่าชีวิตมันว่างเปล่าไร้ความหมายขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ความรู้สึกในใจเรานั่นเองที่เป็นเครื่องมือสร้างการระลึกรู้ ช่วยบอกเราว่าเหตุการณ์นั้นหรือความคิดแบบนั้นเติมความหมายหรือทำลายความหมายของเรา ถ้ามองหาเงินก็ไปปล้นแบงค์ ถ้าจะถามหาความหมายชีวิต ดูเหมือนต้องถามเข้าข้างใน (ใจ) เรา คงมีโอกาสได้เข้าใจมันมากกว่าการไปไล่หาจากภายนอก ในที่อื่น ๆ หรือจากคนอื่น ๆ

สิ่งที่ร่ายยาวมามาทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ทำให้ผมต้องถามทั้งสามคนที่ผมจะสนทนาด้วยกลับไปว่า “แล้ว…ความหมายของชีวิตของคุณคืออะไรล่ะ?” ทั้งสามคนบอกไม่รู้เหมือนกัน ที่จริงในใจเขาอาจจะอยากแถมประโยคแย้งกลับมาด้วยว่า “เพราะไม่รู้ไงล่ะถึงได้มาถาม” ถึงพวกเขาจะตอบกลับมาว่า ไม่รู้ แต่ผมยังคงเชื่อว่าเรื่องแบบนี้คำตอบต้องอยู่ภายในตัวเขาเองแหละ ดังนั้นถ้าคำถามมันจะยากเกินไป เปิดกว้างจนตอบไม่ถูก ผมขอถามแนวคำตอบก่อนละกัน ผมจึงเปลี่ยนคำถามเป็นว่า “ชีวิตที่มีความหมายของคุณมันจะต้องเป็นอย่างไร?”

ความหมายกับการได้เลือกเอง

คำถามที่ว่า “ชีวิตที่มีความหมายของคุณจะต้องเป็นอย่างไร” เป็นคำถามที่ก็ไม่ได้แตกต่างจากการถามว่า “มื้อเย็นวันนี้อยากจะกินอะไร” นั่นคือ การกลับเข้าไปดูความต้องการของตัวเอง คุณอยากได้อะไรล่ะ คุณอยากจะให้มันเป็นยังไงล่ะ สำหรับบางคนมันก็ง่ายมากตอบได้ยืดยาว แต่กับบางคนอาจจะยาก ตอบไม่ได้ ในใจไม่มีคำตอบ ไม่รู้สิ ก็ฉันไม่เคยรู้ความต้องการของตนเอง ถ้าจะบอกว่าอยากกินอะไรเป็นมื้อเย็นก็คงพอได้ ผัดไทหรือข้าวมันไก่ แต่ถ้าจะเอาเรื่องสเกลใหญ่ ๆ ขนาดชีวิตต้องการอะไรเนี่ย ตอบยากจัง

วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการตอบคำถามยาก ๆ ประเภทความหมายชีวิต คงไม่แคล้วที่จะตอบไปว่า “ไม่รู้” ซึ่งถึงตอนนี้อาจจะพอเห็นแล้วว่ามันไม่ใช่การไม่รู้ที่เหมือนกับ “ไม่รู้จริง ๆ” คุณอาจจะไม่รู้ว่าเมืองหลวงของประเทศเปรูชื่ออะไร หรือดอกนาซีซัสมีสีอะไร คุณไม่มีข้อมูลในหัว แต่กับเรื่องที่ว่าชีวิตคุณต้องการอะไร การไม่รู้มันต่างกับไม่รู้จากคำถามข้างต้น การไม่รู้ในกรณีนี้เหมือนไม่รู้เพราะไม่คิดต่อมากกว่า

ความหมายชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ สำคัญมากพอที่เราจะให้เวลาในชีวิตเพื่อตกลงกับตัวเอง ว่าชีวิตที่มีความหมายสำหรับเราคืออะไร มันเป็นภาพหรือเป็นหน้าตาอย่างไร คำตอบว่า “ไม่รู้” ในขั้นต้นก็พอยอมรับได้ แต่คุณอยากจะรู้ไหมล่ะ นี่คือสิ่งที่คุณแสวงหาหรือเปล่า คำเฉลยอยู่ภายในคุณเอง ถ้าอยากรู้ก็อย่าหยุดอยู่ตรงที่คำว่าไม่รู้ ลองฟังใจตัวเองต่อ ใจที่ไม่ค่อยได้พูดหรือได้สื่อสารกับตัวเองในช่วงแรกจะเงียบเฉย ไม่หืออือ ไม่มีสัญญาณตอบรับ ประหนึ่งกับสถานการณ์ที่คุณเคยเสนอความคิดเห็นแก่ใครสักคน เคยพูดอะไรไปมากมาย สุดท้ายไม่ได้อะไรกลับมาแม้สักนิด คุณเลยพอกันที ขี้เกียจสื่อสารแล้ว พูดไปก็เท่านั้น แต่ไม่ใช่ไม่มีความคิดและความต้องการ ข้างในใจคุณมีความต้องการเสมอ อย่างน้อยกับเรื่องความหมายชีวิต ถ้าตอนนี้รับรู้ว่าไม่ค่อยจะมี ไม่ค่อยสัมผัสถึงความหมายชีวิต แสดงว่ามีการสื่อสารจากภายในใจบอกคุณว่ายังไม่ใช่ ยังไม่ได้ การรู้ได้ว่าอันนี้ไม่ใช่ แสดงว่ามีวิธีคิดบางอย่างที่ใช้ตัดสินได้อยู่ เราแค่ขอรับรู้สิ่งนั้น แล้วยังไงถึงจะใช่ บอกมาสิ ถ้าเรายังไม่มีคำตอบว่าความหมายชีวิตของเราคืออะไร อีกความเป็นไปได้หนึ่งคือ เราก็หาคำตอบสำเร็จรูปจากคนอื่น ไม่ต้องสร้างเอง พ่อแม่ก็บอกเรามาแต่เด็กว่าจะเป็นเด็กดีต้องเป็นยังไง ศาสนาก็บอกเราว่าชีวิตที่ดีคืออะไร ทำอะไรถึงถูก ทำไมผิดและห้ามทำ เราอาจจะไม่ได้ชอบสิ่งที่คนอื่นบอกมา แต่เราเลือกเองไปตอนแรกว่าเราจะเอาคำตอบจากเขา เราเลือกเองตอนหลังแล้วว่าเราจะไม่เลือก

การไม่เลือกด้วยตัวเองในเรื่องความหมายชีวิตอาจจะเกิดจากการไม่เคยตระหนักรู้มาก่อนว่า จริง ๆ สิทธิในการเลือกเป็นของเราเองนี่นา (ไม่เคยมีใครบอก ก็ไม่ได้เลือกอะไรอยู่แล้วนี่ นักศึกษารายที่ 2 เขาบอกผมแบบนั้น) หรืออาจจะเกิดจากเลือกแล้วเคยผิด เคยโดนดุด่าว่ากล่าว เคยรู้สึกว่าไม่ใช่ บ่อย ๆ เข้าก็เลยเลิกเชื่อตัวเองไป แต่พอไปรับจากคนอื่นมาก็ยังไม่ใช่ หรืออาจจะเป็นการไหลเลื่อนเคลื่อนไปตามที่ชาวบ้านเขาทำตาม ๆ กันในช่วงแรก แต่เกิดสงสัยขึ้นมาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้เหรอ เหมือนคุณเพื่อนของผมที่นึกสงสัยขึ้นมา

สิ่งผมคุยกับนิสิตแพทย์รายแรกนั้น ผมลองชวนเขาเปรียบเทียบว่า ความหมายชีวิตเหมือนกระดาษเปล่า เจ้าของกระดาษเลือกที่จะเขียนอะไรลงไปก็ได้ คนตรวจก็คือเจ้าของกระดาษเอง ไม่พอใจก็ลบแล้วจะเขียนใหม่ยังไงก็ได้ ตัวกระดาษจะมีอะไรเขียนอยู่บ้างก็เรื่องหนึ่ง แต่ความรู้สึกพึงพอใจในการเขียนของตัวเองก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าคุณยอมรับตัวเองได้จะเป็นอย่างไร ถ้าใจมันไม่ต้องตัดสิน ไม่มีถูกก็ไม่มีผิดจะเป็นอย่างไร เมื่อการสนทนาระหว่างผมกับเขาลดความขัดแย้งในใจเขาได้ เขาดูสงบขึ้น เขาบอกว่าคำถามมันหายไปแล้ว เราคุยกันอีกสักนิดก็พอสรุปบทเรียนได้ว่า การยอมรับตัวเองได้ในทุกกรณี นั่นแหละคือความหมายชีวิตสำหรับเขา คือชีวิตแบบที่เขาต้องการ เขาไม่ได้ต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อะไรแล้ว เพราะเขายอมรับตัวเองได้แล้ว อย่างน้อยก็ตอนนี้ คำถามเกิดจากความไม่พอใจ เมื่อพอใจก็หมดคำถาม

สำหรับนักศึกษารายที่สอง เธอน่าสงสารมากที่เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ได้ให้การยอมรับเธอเลย ไม่เคยให้โอกาสเธอเลือกมากนัก และยังคอยวิพากษ์วิจารณ์จนตัวตนที่ก็มีน้อยอยู่แล้วแตกสลาย การไม่ได้ถูกเห็นคุณค่าจากครอบครัวทำให้เธอไม่ได้เรียนรู้การเห็นคุณค่าตนเอง เลยใจดีกับตัวเองหรือให้กำลังใจตัวเองไม่เป็น ที่มาพูดกับผมตอนนั้นเธอเองกำลังคับขันสุด ๆ จะคิดฆ่าตัวตายอยู่แล้ว รายนี้ต้องทำการรักษาโรคซึมเศร้าและทำจิตบำบัดระยะยาว ไม่ใช่คุยแล้วหายอะไรได้ทันที

ส่วนรายสุดท้าย เรื่องที่คุณเพื่อนผมพูดถึง พอผมถามกลับว่าแล้วอยากจะให้เป็นยังไง คุณเพื่อนก็ยิ้ม ๆ แล้วบอกว่า “ก็ไม่เป็นยังไงหรอกว่ะ อยู่แบบนี้น่าเบื่อหน่อยแต่ก็ทำไงได้ ไม่มีปัญญาดิ้นรนไปอยู่ที่อื่นว่ะ อยู่นี่แหละ ชิลล์ๆ”

“หมายถึงนายก็เลือกแบบเดิม”

“เออ ก็คงลงตัวแล้วแหละ สบายดี ขี้เกียจดิ้นรนละ แค่มีโอกาสขอบ่นบ้างก็โอเคแล้ว ขอบใจเพื่อน”

…..จบ…...

 

ภาพประกอบโดย วาดสุข

Resource: HealthToday Magazine, No.189 January 2017